อัจฉริยภาพของมนุษย์ทุกผู้คนถูกซุกซ่อนอยู่ในก้อนเนื้อที่เรียกว่า “สมอง” ถึงจะเป็นอวัยวะที่มีขนาดไม่ใหญ่โตเมื่อเทียบสัดส่วนกับร่างกาย แต่มันก็ทำหน้าที่สำคัญคอยบังคับบัญชาการทำงานของร่างกาย และยังจัดเก็บความทรงจำต่าง ๆ นานาไว้ไม่ต่างจากฮาร์ดดิสก์ขนาดยักษ์ที่มีพื้นที่จุไม่มีวันหมด นักวิทยาศาสตร์พยายามศึกษาการทำงานของสมองอยู่ตลอดมา ได้พบทั้งข้อเรื่องน่ารู้ที่ชวนให้ประหลาดใจ และพบกับกลไกบางอย่างของสมองที่ยังหาคำอธิบายไม่ได้ ซึ่งวันนี้ TalkTip ก็นำสาระๆเพลินมาให้เสพกันอีกเช้นเคย
1.สมองไม่มีประสาทรับรู้ความเจ็บปวด
สมองของเราไม่มีประสาทรับรู้ความรู้สึก ฉะนั้นมันจึงไม่รับรู้ความเจ็บปวดใด ๆ ทั้งสิ้น นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมแพทย์จึงสามารถลงมือผ่าตัดสมองได้โดยไม่ต้องวางยาสลบคนไข้ และเป็นเรื่องจำเป็นอีกต่างหากที่จะต้องผ่าตัดสมองในขณะที่ผู้ป่วยยังรู้สึกตัวมีสติดี เพื่อให้แน่ใจว่ากระบวนการผ่าตัดนั้นไม่ได้ทำผิดจุดไปทำลายสมองส่วนสั่งการอื่น ๆ อย่างเช่นด้านการมองเห็นหรือการเคลื่อนไหว ส่วนคำถามที่ว่าแล้วทำไมเราถึงรับรู้ความเจ็บปวดได้เล่า ? นั่นเป็นเพราะเรามี “โนซิเซ็ปเตอร์” (nociceptor) ซึ่งเป็นเซลล์ประสาทรับรู้ความรู้สึกเจ็บ ที่จะส่งสัญญาณประสาทไปไขสันหลังและสมอง กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเจ็บปวดนั่นเอง
2.เส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงสมองยาวถึง 100,000 ไมล์
ในสมองก้อนไม่เล็กไม่ใหญ่ไปกว่าลูกแคนตาลูปนั้นอัดแน่นไปด้วยสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ หากจับเส้นเลือดที่ขดอยู่ภายในสมองออกมายืดต่อกัน คุณสามารถวัดความยาวได้กว่า 100,000 ไมล์ (มากกว่า 160,000 กิโลเมตร) นอกจากนี้มันยังประกอบด้วยใยประสาทอีกกว่า 1 แสนล้านหน่วย เยอะจนไม่น่าเชื่อว่าสามารถอัดกันอยู่ได้ในก้อนสมองที่มีมวลเทียบได้เพียงแค่ 2% ของร่างกาย นอกจากนี้ในขณะที่คุณหลับ ก้อนหยักในหัวคุณนี้ยังคงทำงาน มันต้องการใช้พลังงานถึง 17% และออกซิเจนอีก 20% จากทั้งหมดของร่างกาย ส่วนในยามตื่นมันผลิตพลังงานเป็นค่ากระแสไฟฟ้าได้ 10-23 วัตต์ มากพอที่จะจุดติดหลอดไฟเล็ก ๆ เลยทีเดียว
3.สมองไอน์สไตน์ ยังคงได้รับการดองเก็บรักษาไว้
สมองของอัจฉริยะแห่งโลก “อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์” ยังคงได้รับการดองเก็บรักษาไว้จนถึงทุกวันนี้ ก้อนสมองของไอน์สไตน์ถูกผ่าตัดออกมาจากกะโหลกภายใน 7.30 ชั่วโมง หลังการเสียชีวิตของเขาเมื่อปี 1955 โดยฝีมือนักพยาธิวิทยา ดอกเตอร์โทมัส ฮาร์วีย์ แน่นอนว่าความปราดเปรื่องเกินคนธรรมดาทำให้นักวิทยาศาสตร์สนใจใคร่รู้เหลือเกินว่า สมองของบุคคลผู้เป็นอัจฉริยะจะแตกต่างจากสมองของคนทั่วไปอย่างไร ซึ่งได้พบว่าไอน์สไตน์มีสมองส่วนที่รับผิดชอบด้านทักษะด้านตัวเลขและตำแหน่งใหญ่กว่าสมองส่วนที่ทำหน้าที่ด้านการสื่อสารและภาษา ปัจจุบันสมองของไอน์สไตน์ที่ถูกสไลซ์แยกเป็นชิ้นส่วนเพื่อศึกษา ได้รับการดองเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ Matter Museum ในฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา
4.สมองซีกซ้ายและขวามีหน้าที่ต่างกัน
ถึงสมองจะรวมกันเป็นก้อนเดียว แต่มันก็ได้รับการแบ่งอย่างเท่า ๆ กันออกเป็น 2 ซีก และแม้จะทำงานสอดประสานกันอย่างดี แต่ต่างซีกก็ต่างทำหน้าที่แตกต่างกันไป โดยสมองซีกซ้ายรับผิดชอบเรื่องการคิดวิเคราะห์และความเป็นเหตุเป็นผล ส่วนสมองซีกขวาเน้นไปในด้านการรับรู้สิ่งที่เห็นและสัมผัสได้ นอกจากนี้สมองยังแบ่งการสั่งการร่างกายกันคนละด้าน สมองซีกขวาบังคับร่างกายด้านซ้าย ส่วนสมองซีกซ้ายกลับบังคับร่างกายด้านขวา แต่ถึงจะเป็นอย่างนี้ต่อให้เราสูญเสียสมองส่วนใดส่วนหนึ่งหรือซีกใดซีกหนึ่งไป คุณก็ยังคงมีชีวิตอยู่รอดได้ เพราะในที่สุดสมองซีกที่เหลือก็จะพัฒนาขึ้นมาทำงานแทนนั่นเอง
5.สมองของผู้ชายใหญ่กว่าผู้หญิง 10%
เป็นความจริงที่สมองของผู้ชายใหญ่กว่าของผู้หญิงอยู่ราว 10% แต่สาว ๆ อย่าเพิ่งใจเสียไป เพราะแม้สมองของผู้หญิงจะมีขนาดเล็กกว่า แต่ก็มีเซลล์ประสาท การเชื่อมโยงของเส้นประสาท และการทำงานที่มีประสิทธิภาพกว่าในสมองผู้ชาย นอกจากนี้ยังพบว่าผู้หญิงพึ่งพาการทำงานของสมองซีกขวาซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกมากกว่า ในขณะที่ผู้ชายพึ่งพาการทำงานของสมองซีกซ้ายที่ทำหน้าที่ด้านเหตุผลและตรรกะมากกว่า และยังพบว่าผู้หญิงยังมีสมองส่วนที่เรียกว่า straight gyrus หรือ รอยหยักเรียบ ใหญ่กว่าของผู้ชายเมื่อเทียบกับสัดส่วนสมองทั้งก้อน ซึ่งส่วนรอยหยักเรียบนี้รับผิดชอบพฤติกรรมการเลี้ยงดูเอาใจใส่ อันเป็นลักษณะที่เห็นเด่นชัดในเพศแม่ด้วย
6.สมองทำงานหนักขึ้นยามคุณหลับ
ในห้วงนิทราที่เราพักผ่อน ร่างกายหยุดนิ่งไม่ขยับ น่าแปลกที่สมองกลับทำงานหนักยิ่งกว่าตอนตื่นเสียอีก ช่วงเวลาที่ร่างกายพักผ่อนเป็นเวลาที่เหมาะสมกับการทำงานของสมองมากที่สุด เพื่อจัดระบบข้อมูลกับสิ่งที่เราทำมาตลอดทั้งวัน และเชื่อว่านั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้คนเราฝัน มีความเชื่อว่าความฝันเป็นกระบวนการของสมองเพื่อประมวลผลข้อมูลอารมณ์ความรู้สึกที่ซับซ้อนและการตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ผลงานศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ชี้ให้เห็นว่าการฝันช่วยให้บรรเทาความเจ็บปวดลงได้ นอกจากนี้ผู้ที่มีไอคิวสูงยังมีแนวโน้มฝันบ่อยกว่าคนปกติ และการงีบหลับระหว่างวันก็ช่วยให้สมองสดชื่นทำงานได้ดีขึ้นด้วย
7.Inception มีจริง !!
หลาย ๆ คนคงจะเคยดูภาพยนตร์ Inception (2010) ผ่านหูผ่านตากันมาบ้าง มันคือเรื่องราวของคนหลุ่มหนึ่งที่สามารถควบคุมความฝันได้ แม้ในภาพยนตร์จะออกแนวฟิคชั่นไซไฟ แต่ก็มีส่วนใกล้เคียงความเป็นจริงอยู่บ้าง ในจุดที่ว่าคนเราสามารถควบคุมความฝันได้จริง ๆ (แต่อาจจะไม่หวือหวาดรามาติกแบบในหนังนะ)
ในระดับของความฝัน ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในสมองนั้น มีภาวะหนึ่งที่เรียกว่า Lucid dream หรืออาจเรียกว่าเป็น “ฝันรู้ตัว” เนื่องจากบุคคลคนนั้นรู้ตัวได้ว่าตนเองกำลังฝันอยู่ และเมื่อเริ่มมีการศึกษาค้นคว้าเรื่องนี้ขึ้น ความพยายามในการควบคุมความฝันก็ตามมา จนในตอนนี้ที่เมืองนอกมีทั้งการเปิดคอร์สและเขียนหนังสือว่าด้วยการควบคุมความฝันให้เพียบ ก็จะดีแค่ไหนที่เราสามารถทำสิ่งที่ไม่สามารถลงมือทำได้ในความจริง แล้วไปทำในความฝันเสียแทน ซึ่งสิ่งที่เราฝันเห็นในช่วง lucid dream นี้ ส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นเรื่องความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ รวมถึงเรื่องเซ็กส์ด้วยนะ !! ..รู้หรือยังว่าทำไมถึงอยากควบคุมความฝันให้ได้กันนัก
8.กลไกสมองของการหัวเราะ จนบัดนี้เราก็ยังไม่เข้าใจ
การหัวเราะที่จริงใจคือเสียงฮ่า ๆ ๆ ที่หลุดออกมาโดยไม่ได้เสแสร้ง และมีแม้แต่มนุษย์เท่านั้นน่ะที่เป็นสิ่งทีชีวิตที่สามารถหัวเราะได้ ไม่เชื่อลองไปสังเกตดู ไม่ว่าจะหมา แมว นก หนู ก็หัวเราะไม่เป็นทั้งนั้น การหัวเราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ไม่มีการวางแผน และเกิดขึ้นโดยไม่ได้รู้ตัวด้วยซ้ำ แต่จนกระทั่งตอนนี้นักวิทยาศาสตร์เองก็ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่าสมองส่วนไหนของมนุษย์ที่รับผิดชอบเรื่องการหัวเราะ กลไกสมองที่ทำให้เกิดการหัวเราะนั้นเป็นอย่างไร ยังเป็นคำตอบที่ไม่มีใครไขได้กระจ่าง
9.ขนาดสมองไม่ได้สอดคล้องกับความฉลาด
ประสิทธิภาพการทำงานของสมองไม่เกี่ยวข้องกับขนาดโดยสิ้นเชิง ดูอย่างสมองของไอน์สไตน์เป็นตัวอย่าง ซึ่งมีมวลแค่ 1,230 กรัม ในขณะที่ขนาดสมองโดยเฉลี่ยของผู้ชายมีมวล 1,400 กรัม แต่ความฉลาดของไอน์สไตน์กลับทิ้งห่างคนทั่วไปหลายเท่านัก สิ่งสำคัญที่จะบ่งว่าฉลาดมากน้อยแค่ไหนคือการเชื่อมโยงกันของเซลล์ประสาทในสมองที่เรียกว่า “ไซแนปส์” (Synapse) ต่างหาก
10.คิมอึงยอง บุคคลฉลาดที่สุดในโลก IQ ของเขาทะลุ 210
คิมอึงยอง ชาวเกาหลีใต้ เป็นบุคคลที่ฉลาดที่สุดในโลก วัดไอคิวได้ถึงระดับ 210 คิมเกิดในปี 1972 เขาเริ่มพูดได้เมื่ออายุเพียง 6 เดือน และอ่านออก 4 ภาษา ทั้งเกาหลี ญี่ปุ่น อังกฤษ และเยอรมันได้ก่อนที่จะอายุครบ 3 ขวบ เมื่ออายุ 4 ขวบก็เข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัย และจบปริญญาเอกสาขาฟิสิกส์ในวัยเพียง 15 ปี เคยทำงานร่วมกับองค์การนาซา แต่ในปัจจุบันนี้เขาเป็นอาจารย์ระดับมหาวิทยาลัยในเกาหลี
จบไปละกับสาระสนุกๆที่เรานำมาให้ได้เสพกันแล้วพบกันใหม่กับสาระสนุกๆแบบนี้ได้ที่ TalkTip See ya!
9 Responses