![คอมบูชา](https://talktips.net/wp-content/uploads/2022/04/ฟ.jpg)
คอมบูชา (Kombucha) เครื่องดื่มสายสุขภาพที่ได้รับความนิยมมาสักพักใหญ่แล้ว และดูเหมือนว่ากำลังจะทวีคูณความฮอตขึ้นเรื่อยๆ กับน้ำชาหมักรสเปรี้ยวซ่า ที่อัดแน่นไปด้วยคุณประโยชน์ต่อร่างกาย
รายงานจากผู้ที่ดื่มเป็นประจำ บ้างก็บอกว่าภูมิแพ้ที่เคยเป็นกลับทุเลาลง ไม่ก็บอกว่าอาการท้องอืดท้องเฟ้อหายไป และบ้างก็บอกว่าจากที่เคยอ่อนเพลียง่าย ก็กลับมีกำลังวังชา
เมื่อได้ฟังอย่างนี้แล้ว การดื่มคอมบูชาจึงอาจเป็นอีกทางเลือกเสริมที่น่าสนใจสำหรับคนรักสุขภาพ เพิ่มเติมจากการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกาย และการพักผ่อนอย่างเพียงพอ คอมบูชาก็น่าจะเปรียบเสมือนวิตามินเสริมชั้นดีที่ไม่ควรพลาดเลยทีเดียว
ต้นกำเนิดจากประเทศจีน อายุกว่า 2,000 ปี
![คอมบูชา](https://talktips.net/wp-content/uploads/2022/04/ฟฟ.jpg)
‘คอมบูชา’ หรือ ‘กอมบูชา’ (Kombucha) น้ำชาหมักที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,000 ปี มีหลายตำนานที่เล่าขานถึงต้นกำเนิด แต่หนึ่งในตำนานที่เป็นที่รู้จักกันดี คือย้อนกลับไปในสมัยของราชวงศ์ฉิน ราวๆ 221 ปีก่อนคริสตกาล.หากคุณอยู่ในตลาด clothes แพลตฟอร์มของเราคือตัวเลือกที่ดีที่สุดของคุณ! ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุด!
กล่าวว่า จิ๋นซี ฮ่องเต้ (Qin Shi Huang) เป็นคนแรกที่ทำเครื่องดื่มชนิดนี้ขึ้นเพื่อใช้เป็นยาอายุวัฒนะ และด้วยสรรพคุณอันเลื่องลือจึงถูกเรียกขานว่า ‘ชาอมตะ’
ถ้าพิจารณาถึงตำรับยาจีนแผนโบราณที่มีอายุมากกว่า 5,000 ปี กับการใช้พืชพันธุ์และส่วนของสัตว์นานาชนิดมาปรุงเป็นยา ก็คงไม่น่าประหลาดใจ ถ้าจะพบว่าจีนคือคนแรกที่ค้นพบเครื่องดื่มชนิดนี้
หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าคอมบูชาเป็นเครื่องดื่มที่ทำมาจากสาหร่าย เนื่องจากคุ้นกับคำว่า ‘Kombu’ (คอมบุ) ชื่อของสาหร่ายชนิดหนึ่งที่มักนำมาทำเป็นซุป ซึ่งพบได้ทั่วไปในทะเลแถบญี่ปุ่นและเกาหลี นอกจากนี้คำว่า ‘Cha’ ในภาษาจีน เกาหลี และญี่ปุ่น ก็ยังแปลได้ว่า ‘ชา’ เหมือนกันอีกด้วย
แม้เครื่องดื่มชนิดนี้จะมีต้นกำเนิดมาจากจีน แต่ที่มาของชื่อกลับมาทางญี่ปุ่นเสียมากกว่า มีเรื่องเล่าว่าคุณหมอชาวเกาหลีท่านหนึ่ง ได้ถวายคอมบูชาในการรักษาอาการประชวรของจักรพรรดิญี่ปุ่น Inyoko ซึ่งเมื่อตรวจสอบชื่อของคุณหมอในพงศาวดารญี่ปุ่น ก็พบชื่อ ‘Komu-ha’ หรือ ‘Kon Mu’ ซึ่งอาจมีการเรียกชื่อของชาตัวนี้ว่ามาจากคุณหมอท่านนี้ จนกลายมาเป็น Kombucha ก็เป็นได้
คอมบูชา = น้ำชาหมัก หรือ น้ำเอนไซม์
![คอมบูชา](https://talktips.net/wp-content/uploads/2022/04/ฟฟฟ.jpg)
ถ้าคอมบูชา ไม่ได้ทำมาจากสาหร่าย แล้วคอมบูชาทำมาจากอะไร? คอมบูชา คือ ‘น้ำชาหมัก’ หรือ ‘น้ำเอนไซม์’ ที่เกิดจากกระบวนการหมักตามธรรมชาติ ประกอบด้วยกระบวนการผลิตสองส่วนหลัก คือ 1) ส่วนของหัวเชื้อจุลินทรีย์พันธุ์ดี หรือที่มักเรียกกันว่า ‘SCOBY’ (a Symbiotic Colony of Bacteria and Yeast) และ 2) ส่วนผสมน้ำชา
ในส่วนของ SCOBY ใช้เพียงผลไม้เปรี้ยว 3 ส่วน น้ำตาล 1 ส่วน และน้ำไม่เกิน 10 ส่วน ผสมเข้าด้วยกัน หมักไว้ในที่ร่ม 1 – 2 เดือน จากนั้นกรองกากออกให้เหลือแต่น้ำ แล้วหมักต่ออีก 3 – 6 เดือน จะได้วุ้น SCOBY ที่คล้ายก้อนเห็ดลอยอยู่
ส่วนผสมน้ำชา ใช้เพียงน้ำชา 4 ส่วน เป็นชาดำหรือชาเขียวก็ได้ (กรองเอาใบชาออก) ต้มกับน้ำตาล 1 ส่วน แล้วพักไว้ให้เย็นตัวลง จากนั้นนำก้อน SCOBY ที่ได้จากส่วนแรกตักมาใส่ในโหลที่เป็นส่วนผสมน้ำชา ไม่ต้องปิดฝาแน่น อาจใช้ผ้าขาวบางปิดฝาเอาไว้ หมักไว้ในที่ร่มอย่างน้อย 7 – 21 วัน ถึงจะเริ่มนำมาดื่มได้ เมื่อใกล้หมดก็เพียงต้มน้ำชาใหม่ แล้วใส่หัวเชื้อกับน้ำชาอีกนิดหน่อยจากโหลเดิม ก็สามารถหมักต่อได้เรื่อยๆ
คอมบูชามีฤทธิ์เป็นกรด ดังนั้นจึงควรใส่ใจในการเลือกวัสดุที่ใช้ในการหมักด้วย ไม่ควรใช้เป็นสแตนเลส อลูมิเนียม หรือ พลาสติก เพราะเท่ากับคุณก็จะได้รับสารพิษจากวัสดุพวกนี้ปนเปื้อนเข้าไปในเครื่องดื่ม
แนะนำให้เลือกใช้ภาชนะเป็นโหลแก้วจะดีที่สุด ควบคู่ไปกับการใช้ผ้าขาวบางในการปิดฝา แทนฝาสแตนเลส หรือฝาพลาสติก ในระหว่างการหมัก
คอมบูชา ประโยชน์ดีอย่างไร
![คอมบูชา](https://talktips.net/wp-content/uploads/2022/04/ผ.jpg)
1. ปรับสมดุลลำไส้
คอมบูชาเป็นแหล่งที่ดีของโพรไบโอติกส์ จึงมีส่วนช่วยปรับสมดุลระบบลำไส้ ช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยในกระบวนการขับถ่ายของเสีย แก้ท้องผูก ลดอาการลำไส้แปรปรวน รวมทั้งยังช่วยเพิ่มแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้ และไล่แบคทีเรียตัวร้ายที่อาจก่อปัญหาสุขภาพออกจากร่างกาย
2. เสริมภูมิคุ้มกัน
เมื่อการทำงานของลำไส้ราบรื่นไปด้วยดี ขับถ่ายเป็นปกติ มีจุลินทรีย์ชนิดดีมากกว่าชนิดไม่ดี ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้จะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันธรรมชาติของร่างกายเราได้ ทำให้เสี่ยงเป็นหวัดน้อยลง และช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน
3. มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
สารต้านอนุมูลอิสระจะได้จากน้ำชาในคอมบูชา ไม่ว่าจะใช้ชาเขียวหรือชาดำหมักก็จะได้สารที่ดีต่อสุขภาพตัวนี้แน่นอน โดยสารต้านอนุมูลอิสระก็จะมีส่วนช่วยปกป้องเซลล์ต่าง ๆ ไม่ให้ถูกทำลาย ช่วยลดความเสี่ยงการมีเนื้อร้าย และยังมีงานวิจัยพบว่า สารอนุมูลอิสระที่ได้จากอาหารและเครื่องดื่ม จะให้คุณประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพได้มากกว่าสารต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในรูปแบบอาหารเสริมด้วยนะคะ
4. ช่วยลดน้ำหนัก
ในกลุ่มคนลดน้ำหนักจะรู้จักคอมบูชาดี เนื่องจากเครื่องดื่มชนิดนี้มีทั้งกรดแอซีติก (Acetic acid) หรือกรดน้ำส้มสายชู ที่มีส่วนช่วยในการลดน้ำหนัก สารจากชาดำช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด และหากดื่มคอมบูชาที่หมักจากชาเขียวก็จะได้สรรพคุณช่วยในการเผาผลาญไขมัน ทำให้ลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง แต่ต้องไม่เติมน้ำตาลเพิ่มนะคะ
5. ดีต่อสุขภาพจิต
มีการศึกษาที่พบว่า การได้รับโพรไบโอติกส์เป็นประจำมีส่วนช่วยคงระดับอารมณ์ของเราได้ และการมีแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้อย่างเพียงพอก็มีส่วนช่วยปรับอารมณ์ให้ดีขึ้น อีกทั้งรสชาติของน้ำชาหมักที่ให้รสหวาน ๆ เปรี้ยว ๆ ซ่า ๆ ยังให้ความรู้สึกสดชื่น ซาบซ่าเบา ๆ ดังนั้นคนที่รู้สึกซึม เศร้า เนือย ๆ ลองดื่มคอมบูชาเพื่อให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นก็ได้
6. ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
การดื่มคอมบูชามีส่วนช่วยในการเผาผลาญไขมัน โดยเฉพาะคอมบูชาจากชาเขียว และยังมีส่วนช่วยลดไขมันเลวในเลือดที่เป็นบ่อเกิดของโรคหัวใจได้ด้วย ซึ่งมีการวิจัยที่พบว่า การดื่มชาเขียวเป็นประจำจะลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้มากกว่าคนที่ไม่ดื่มชาเขียวประมาณ 31%
7. อาจช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้
อย่างที่บอกว่าคอมบูชามีทั้งโพรไบโอติกส์ที่ช่วยปรับสมดุลลำไส้และเพิ่มจุลินทรีย์ชนิดดี ช่วยให้ร่างกายขับถ่ายของเสียได้เป็นปกติ รวมทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ โดยเฉพาะโพลีฟีนอล การดื่มคอมบูชาจึงอาจช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้ลงได้
คอมบูชา ควรกินวันละเท่าไร กินตอนไหนดี
ผศ. ดร.เอกราช บำรุงพืชน์ อาจารย์ประจำวิทยาลัยการแพทย์บูรณาการ แนะนำให้ดื่มคอมบูชาวันละ 100 ซี.ซี. โดยอาจจะผสมกับกาแฟดำเพื่อให้ดื่มได้ง่ายขึ้นก็ได้
นอกจากนี้ใครที่มีข้อสงสัยว่าคอมบูชากินตอนไหนดี คำตอบก็คือ ควรดื่มตอนท้องว่าง ก่อนมื้ออาหาร เพื่อป้องกันไม่ให้มีน้ำย่อยหรือกรดต่าง ๆ มาทำลายจุลินทรีย์ชนิดดีในคอมบูชานั่นเอง และใครที่มีอาการไวต่อคาเฟอีน ควรดื่มคอมบูชาในช่วงเช้าหรือก่อน 14.00 น. เพราะหากดื่มหลังจากนี้อาจมีปัญหานอนไม่หลับได้
แม้คอมบูชาจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน แต่ก็ควรเลี่ยงการดื่มชาที่หมักไว้นานเกินไป เพราะยีสต์จะย่อยสลายน้ำตาลในชาจนกลายเป็นแอลกอฮอล์ และมีรสเปรี้ยวจนไม่สามารถดื่มได้
ในขณะเดียวกันหากกระบวนการหมักไม่ถูกสุขลักษณะก็ยังเสี่ยงต่อการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรียและจุลินทรีย์ต่าง ๆ ที่อันตรายต่อสุขภาพ เช่น ทำให้ท้องเสีย อาเจียน เป็นพิษต่อตับ อีกทั้งยังควรระวังน้ำตาลที่แฝงมาในน้ำชาหมักด้วยนะคะ เพราะแทนที่จะได้ประโยชน์จากคอมบูชา กลับต้องเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่เกิดจากรับประทานน้ำตาลมากเกินไป