โรคหัวใจ หรือHeart Disease หมายถึง โรคต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ โดยความผิดปกติที่เกิดขึ้นในส่วนของหัวใจที่ต่างกัน ทำให้โรคหัวใจมอาการต่างกันไปในแต่ละชนิดดังนี้
- โรคหลอดเลือดหัวใจ เจ็บหรือแน่นหน้าอก ร้าวไปตามกราม แขน ลำคอ เหนื่อย อ่อนเพลีย หรือหมดสติได้
- โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจอาจเต้นเร็วหรือช้ากว่าผิดปกติ ใจสั่น เหนื่อยง่าย แน่นหน้าอก เวียนศีรษะ หรือคล้ายจะเป็นลม
- โรคกล้ามเนื้อหัวใจ เหนื่อยง่าย หายใจไม่อิ่ม มักมีอาการมากขึ้นเมื่อต้องออกแรงหนัก ๆ บวมตามแขน ขา นอนราบไม่ได้ และตื่นขึ้นมาไอในเวลากลางคืน
- โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด เป็นโรคที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อทารกอยู่ในครรภ์มารดาทารกมีอาการเหนื่อยขณะให้นม เลี้ยงไม่โต
- โรคลิ้นหัวใจ หากมีความผิดปกติของลิ้นหัวใจมาก จะมีอาการเหนื่อยง่าย และเกิดภาวะหัวใจวายหรือน้ำท่วมปอดได้
- โรคติดเชื้อบริเวณหัวใจ เป็นไข้เรื้อรัง อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า หัวใจเต้นผิดปกติ หายใจหอบเหนื่อย ไอเรื้อรังแห้ง ๆ ขาหรือช่องท้องบวม รวมถึงมีผื่นหรือจุดขึ้นตามผิวหนัง
หากท่านมีอาการดังกล่าวข้างต้น ควรเข้าพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยภาวะหัวใจโต และได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
โรคหัวใจขาดเลือด รักษาไม่ทัน…อันตรายถึงชีวิต
รู้หรือไม่ว่า “โรคหลอดเลือดหัวใจ” เป็นอีกหนึ่งโรคที่คนไทยเป็นกันจำนวนมาก โดยพบว่าเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต ที่ติดอันดับ 1 ใน 4 ของประชากรโลกรวมทั้งในประเทศไทย โดยปัจจุบันมักพบในผู้ที่มีอายุเพิ่มมากขึ้น และพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง
“โรคหัวใจ ขาดเลือด เป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวัง เพราะหากเกิดอาการแล้ว นั่นหมายถึง ทุกวินาทีคือชีวิต หากรักษาไม่ทันก็อาจเสียชีวิตได้”
ภาวะหลอดเลือดแข็ง คืออะไร
“ภาวะหลอดเลือดแข็ง (Atherosclerosis)” หรือ “ภาวะหลอดเลือดตีบ” เป็นภาวะที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของผนังหลอดเลือดทำให้ผนังหลอดเลือด ชั้นใน หนาตัวขึ้นเรื่อยๆ มีไขมันไปสะสมระหว่างหลอดเลือด จนในที่สุดทำให้เกิดหลอดเลือดตีบตัน เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการของอวัยวะต่างๆ ขาดเลือดเกิดขึ้น
สาเหตุของภาวะหลอดเลือดแข็ง เกิดจาก
การอุดตันหรือตีบแคบของหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงหัวใจ
เกิดการสร้างคราบตะกอนไขมันขึ้นตามผนังด้านในของหลอดเลือดแดงของหัวใจ
ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดไปยังหัวใจลดลงหรือเลือดไปเลี้ยงไม่ได้
ทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายหรือถ้ารุนแรงมากอาจทำให้เสียชีวิตได้
อย่างไรก็ตาม ไขมันสะสมอุดตันอันเป็นสาเหตุของภาวะหลอดเลือดแข็งไม่ได้เกิดเฉพาะในผู้สูงอายุเท่านั้น แต่สามารถพบได้ตั้งแต่อายุไม่มาก ทั้งนี้เนื่องมาจากพฤติกรรมการรับประทานในปัจจุบันนั่นเอง
โรคหัวใจ เกิดจากอะไร?
ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ แบ่งได้ออกเป็น 2 ประเภท
ปัจจัยเสี่ยงที่แปรเปลี่ยนไม่ได้
1. อายุ เมื่ออายุมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้เกิดการเสื่อมสภาพของหลอดเลือดเพิ่มขึ้น
2. เพศ ผู้ชายมีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้มากกว่าผู้หญิง แต่ในผู้หญิงที่หมดประจำเดือนแล้ว มีโอกาสเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจใกล้เคียงกับผู้ชาย
3. ประวัติครอบครัว หากมีบุคคลในครอบครัว เช่น ปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ พี่น้อง เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ ก็มีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจเพิ่มขึ้น
ปัจจัยเสี่ยงที่แปรเปลี่ยนได้
1. น้ำหนักเกินและอ้วน
2. กลุ่มอาการที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับภาวะน้ำหนักเกินหรือภาวะอ้วนร่วมกับปัจจัยเสี่ยงด้านอื่นๆ (Metabolic Syndrome) หรืออาจเรียกว่า “อ้วนลงพุง” ร่วมกับมีภาวะความผิดปกติ ได้แก่
ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
ระดับ HDL ในเลือด (ไขมันดี) ต่ำ
ระดับน้ำตาลในเลือดสูง
ระดับความดันโลหิตสูง
3. ภาวะความดันโลหิตสูง เป็นเรื่องที่ต้องเฝ้าระวัง เพราะเป็นภาวะที่ไม่แสดงอาการ
4. ความเครียด
5. ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหรือโรคเบาหวาน
6. ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ
7. การไม่ออกกำลังกาย
8. การสูบบุหรี่
9. การรับประทานผักและผลไม้ในแต่ละวันน้อยเกินไป
เจ็บหน้าอกแบบไหนที่เป็นอาการ โรคหัวใจ
เจ็บ แน่นหน้าอก เหมือนมีอะไรมากดทับ บีบรัดบริเวณกลางเยื้องมาทางด้านซ้าย โดยมักมีอาการเวลาออกแรงที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น
ปวดร้าวไปบริเวณแขนซ้ายขึ้นหัวไหล่
เหงื่อแตก
หน้าซีด คล้ายจะเป็นลม
เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน
หากมีอาการดังกล่าว บวกกับมีปัจจัยเสี่ยงร่วมด้วย นั่นอาจหมายถึงคุณเสี่ยงเป็นโรคหัวใจขาดเลือด
“เจ็บหน้าอก” แต่ไม่ได้เป็นโรคหัวใจ! อาจเป็นอาการของโรคอื่น
แสบร้อนที่หน้าอก เจ็บกลางอกหรือลิ้นปี่ บางครั้งมีเรอเปรี้ยว มักเป็นขณะอิ่ม เกิดจากโรคกรดไหลย้อน
เจ็บแปล๊บๆ เจ็บหัวใจเหมือนถูกเข็มทิ่มแทงหรือถูกไฟช็อต เกิดจากเส้นประสาทอักเสบ
เจ็บเวลาหายใจเข้าลึกๆ หรือเมื่อเอี้ยวตัว เกิดจากกล้ามเนื้อเอ็นหรือกระดูกซี่โครงอ่อนอักเสบ
กดเจ็บบริเวณหน้าอก โดยเฉพาะบริเวณกระดูกซี่โครงใกล้ๆ ทรวงอก เกิดจากกระดูกซี่โครงอ่อนอักเสบ
เจ็บตลอดเวลา เป็นนานหลายชั่วโมง หรือเป็นวันโดยที่ไม่มีอาการร้ายแรงอื่นๆ เกิดจากกล้ามเนื้อเอ็นหรือกระดูกซี่โครงอ่อนอักเสบ
อาการเจ็บไม่สัมพันธ์กับความหนักเบาของกิจกรรม เช่น เจ็บเวลานั่งหรือนอน แต่ขณะทำงานบางครั้งก็ไม่เจ็บ แม้จะออกแรงมากกว่าหรือเหนื่อยกว่า
อาการเจ็บหน้าอกเฉพาะด้านขวา
*ทั้งนี้ทั้งนั้น อาการอาจจะไม่จำเพาะเสมอไป ถ้ามีอาการที่ไม่ชัดเจนร่วมกับมีปัจจัยเสี่ยงอย่างอื่นก็อาจจะต้องมีการตรวจเพิ่มเติม
การตรวจวินิจฉัยโรคหัวใจ
การซักประวัติและตรวจร่างกาย ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG: Electrocardiogram)
การถ่ายภาพรังสีของทรวงอก (Chest X-ray)
การตรวจระดับเอนไซม์กล้ามเนื้อหัวใจในเลือด (Cardiac Enzyme Test)
การทดสอบสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย (EST: Exercise Stress Test)
การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (ECHO: Echocardiogram)
การตรวจวินิจฉัยโรคของหลอดเลือดหัวใจด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ความเร็วสูง (Computed Tomographic Angiography)
การตรวจหัวใจด้วยคลื่นสะท้อนแม่เหล็กไฟฟ้า (Cardiovascular MRI: CMR)
การสวนหัวใจหรือการฉีดสีดูหลอดเลือดหัวใจ (Cardiac Catheterization or Coronary Angiogram)
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ รักษาหายไหม?
แนวทางในการรักษาขึ้นอยู่กับอาการ และร่างกายของคนไข้ ว่าเหมาะกับการรักษาวิธีใด
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ เช่น ออกกำลังกาย ไม่ดื่มเหล้า งดสูบบุหรี่ พยายามไม่เครียด ควบคุมน้ำหนัก นั่งสมาธิ
การรักษาด้วยยา หลังจากได้รับการผ่าตัดแล้วจะต้องมียาบางตัวที่ต้องรับประทานตลอด เช่น ยาต้านเกล็ดเลือด ซึ่งผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูนและการใส่ขดลวด
การผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ หรือการทำ “บายพาส”
สุดท้ายนี้โรคหัวใจ เป็นโรคที่พบเจอมากในประชากรไทย ซึ่งการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจนั้นเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 3 รองจากมะเร็ง และอุบัติเหตุ ด้วยเหตุนี้จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าโรคหัวใจไม่ได้เป็นเรื่องที่ไกลตัวเราอีกต่อไป ทั้งนี้มาจากสาเหตุที่วิถีการดำรงชีวิตของคนไทยเปลี่ยนไป ได้แก่
– การบริโภคอาหารที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ เช่น การรับประทานอาหารขยะบ่อยๆ ทานผักและผลไม้น้อยเกินไป
– ขาดการออกกำลังกาย
– มีภาวะเครียดในการทำงานและการดำรงชีวิต
– มีอาการผิดปกติทางร่างกาย อาทิ ความดันเลือดสูง ภาวะไขมันผิดปกติ เบาหวาน เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงสู่โรคหัวใจและหลอดเลือด แต่คงไม่สายเกินไปหากเราจะเริ่มหันมาดูแลสุขภาพของหัวใจตนเองและของคนที่คุณรัก ให้ห่างไกลจากสารพัดปัจจัยเสี่ยงทั้งหลายที่จะทำให้เกิดภาวะโรคหัวใจและหลอดเลือด
11 Responses