ไมเกรน เป็นโรคทางระบบประสาทที่มีอาการปวดหัวรุนแรงชนิดหนึ่ง หลายคนเข้าใจว่าไมเกรนจะต้องมีอาการปวดหัวข้างเดียวเท่านั้น แต่ในบางคนก็มีอาการปวดหัวทั้งสองข้างได้เช่นกัน โดยผู้ป่วยมักมีอาการปวดหัวมาก และมีอาการคลื่นไส้ หรืออาเจียนร่วมด้วย
ผู้ป่วยไมเกรนบางรายอาจมีอาการนำ เช่น เห็นแสงไฟวาบ เห็นแสงขาวเป็นเส้นซิกแซก เห็นภาพมืดเป็นบางส่วน มีอาการชาส่วนต่างๆ แขนขาอ่อนแรง หูอื้อ มีปัญหาเรื่องการพูด ซึ่งมักจะเป็นก่อนเกิดอาการปวดหัวประมาณ 1 ชั่วโมง
ไมเกรนเป็นโรคปวดหัวเรื้อรังที่รักษาไม่หายขาด แต่การรักษาจะช่วยให้ผู้ป่วยบรรเทาความปวด ลดความถี่ในการเกิดไมเกรน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้
ไมเกรน (Migraine) คืออะไร?
ไมเกรน (Migraine) คือ โรคทางระบบประสาท (Neurological Disease) ชนิดหนึ่ง ซึ่งผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดหัวข้างใดข้างหนึ่ง หรือในบางรายก็อาจมีอาการปวดหัวทั้งสองข้าง และมีระดับความรุนแรงปานกลางไปจนถึงขั้นกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง และมักจะมีอาการวิงเวียนศีรษะ อาเจียนร่วมด้วย รวมถึงผู้ป่วยจะมีความไวต่อแสงและเสียง
ไมเกรนถือเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ พบได้ทั่วไปตั้งแต่วัยเด็กไปจนถึงผู้สูงอายุ แต่มักพบมากในวัยทำงาน เนื่องมาจากสภาวะแวดล้อมที่มีความเครียดสูง และพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
ไมเกรนมีกี่แบบ?
โรคไมเกรนมีหลากหลายแบบ แต่ที่พบได้มากที่สุดมี 2 แบบคือ ไมเกรนที่มีอาการเตือน (Migraine with Aura) และไมเกรนที่ไม่มีอาการเตือน (Migraine without Aura) ในผู้ป่วยบางคนอาจเกิดไมเกรนทั้ง 2 แบบสลับกัน นอกจากนี้ยังมีไมเกรนแบบอื่นๆ ที่มีอาการบ่งชี้แตกต่างกันไป มาทำความรู้จักชนิดของไมเกรนกันว่ามีอะไรบ้าง และแต่ละแบบเป็นอย่างไร
1. ไมเกรนที่ไม่มีอาการแจ้งเตือน (Migraine without Aura)
ไมเกรนที่ไม่มีอาการแจ้งเตือนพบได้มากกว่าไมเกรนที่มีการแจ้งเตือน ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการปวดหัวโดยไม่มีอาการใดๆ ที่เป็นสัญญาณเลย มีลักษณะดังนี้
- มีอาการปวดหัวเกิดขึ้น 4-72 ชั่วโมง หากไม่ได้รับประทานยาหรือรักษาแล้วแต่อาการไม่ดีขึ้น
- ลักษณะของการปวดหัวจะมีอย่างน้อย 2 ข้อจากลักษณะทั้งหมดดังนี้
- ปวดด้านใดด้านหนึ่งของศีรษะ
- มีอาการปวดแบบตุบๆ
- ระดับของอาการปวดจะอยู่ที่ปานกลางจนถึงขั้นปวดรุนแรง
- อาการปวดจะรุนแรงขึ้นหากเคลื่อนไหวร่างกาย เดิน หรือขึ้นบันได
- อาการปวดหัวจะส่งผลให้เกิดอย่างน้อย 1 ข้อจากลักษณะดังนี้
- มีอาการไวต่อแสง
- มีอาการไวต่อเสียง
- รู้สึกวิงเวียนศีรษะมาก อาจมีหรือไม่มีอาการอาเจียนและท้องเสียร่วมด้วย
- อาการปวดศีรษะดังกล่าวไม่ได้เกิดจากโรคอื่นๆ
2. ไมเกรนที่มีอาการแจ้งเตือน (Migraine with Aura)
เป็นชนิดของไมเกรนที่พบได้ประมาณ 25% ของผู้ที่เป็นไมเกรนทั้งหมด โดยผู้ป่วยไมเกรนแบบที่มีอาการแจ้งเตือน มักจะมีอาการอย่างน้อย 2 ข้อจากอาการทั้งหมดดังต่อไปนี้
- มีสัญญาณเตือนนำมาก่อน ซึ่งจะต้องมีอย่างน้อย 1 ข้อจากสัญญาณเตือนทั้งหมด ดังนี้
- อาการนำทางตา (Visual Aura) เช่น เห็นแสงแฟลช หรือเห็นไฟสีขาวเป็นเส้นซิกแซก เห็นแสงระยิบระยับ เห็นภาพมืดเป็นบางส่วน เห็นภาพเบลอหรือบิดเบี้ยว มองไม่เห็นชั่วขณะ
- อาการนำทางความรู้สึก (Sensory Aura) เช่น อาการชาบริเวณต่างๆ ของร่างกาย อารมณ์แปรปรวน รู้สึกเวียนหัว ทรงตัวไม่อยู่
- อาการนำทางการพูด (Speech Aura) เช่น มีอาการพูดไม่ได้ชั่วขณะ นึกคำพูดไม่ออก หรือไม่เข้าใจในสิ่งที่ผู้อื่นพูด
- อาการนำที่ก้านสมอง (Brainstem Aura) เช่น รู้สึกเวียนหัวเหมือนบ้านหมุน (Vertigo) มีเสียงดังในหู หูอื้อ ได้ยินเสียงวิ้งๆ สูญเสียการได้ยินชั่วขณะ เห็นภาพซ้อน เดินเซ
- อาการนำแบบอ่อนแรงครึ่งซีก (Hemiplegic Aura) จะมีอาการแขนขาอ่อนแรงที่ข้างใดข้างหนึ่งของร่างกาย
- อาการนำทางตา (Visual Aura) เช่น เห็นแสงแฟลช หรือเห็นไฟสีขาวเป็นเส้นซิกแซก เห็นแสงระยิบระยับ เห็นภาพมืดเป็นบางส่วน เห็นภาพเบลอหรือบิดเบี้ยว มองไม่เห็นชั่วขณะ
- สัญญาณเตือนต่างๆ มักจะเกิดขึ้นอย่างน้อย 5 นาทีหรืออาจเป็นชั่วโมง และอาการเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นพร้อมๆ กับอาการปวดหัว หรือเกิดก่อนอาการปวดหัวประมาณ 1 ชั่วโมง
- อาการที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว (Transient Ischemic Attack: TIA)
3. ไมเกรนเรื้อรัง (Chronic Migraine)
ผู้ป่วยที่มีอาการไมเกรนเรื้อรังจะมีอาการปวดหัวมากกว่า 15 วันต่อเดือน และต่อเนื่องนานกว่า 3 เดือนหรือมากกว่านั้น จนส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ทำให้ผู้ป่วยมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่แย่ลง
นอกจากนี้เมื่อผู้ป่วยมีอาการปวดหัวต่อเนื่อง จึงทำให้ต้องรับประทานยาแก้ปวดต่อเนื่องหรือเพิ่มปริมาณยาขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ตัวยาไม่สามารถออกฤทธิ์แก้ปวดได้อีกและส่งผลเสียทำให้เกิดอาการปวดหัวแทน เรียกว่า Medication Overuse Headache หรือ MOH
เมื่อเทียบกับผู้ป่วยไมเกรนชนิดอื่น ผู้ป่วยไมเกรนชนิดเรื้อรังมีแนวโน้มสูงกว่าที่เกิดอาการเหล่านี้
- อาการปวดหัวขั้นรุนแรง
- เกิดภาวะซึมเศร้า
- ใช้ชีวิตประจำวันลำบากมากขึ้น
- ส่งผลให้เกิดโรคเรื้อรังอื่นๆ เช่น โรคข้ออักเสบ
- อาจทำให้มีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง
- เป็นผู้ที่เคยบาดเจ็บที่ศีรษะหรือคอมาก่อน
4. ไมเกรนเฉียบพลัน (Acute Migraine)
เป็นอาการปวดศีรษะชนิดหนึ่งที่ไม่ใช่อาการเรื้อรัง หรือเรียกว่าอาการปวดไมเกรนแบบนานๆ ครั้ง (Episodic Migraine) โดยอาการปวดหัวไมเกรนชนิดนี้จะเกิดขึ้นไม่เกิน 14 วันต่อเดือน อย่างน้อย 3 เดือนขึ้นไป และอาการที่เกิดขึ้นจะไม่รุนแรงเท่าผู้ที่เป็นไมเกรนเรื้อรัง
5. ไมเกรนตา (Ophthalmic Migraine)
หรือเรียกภาษาอังกฤษแบบอื่นได้ว่า Eye Migraine, Ocular Migraine, Optical Migraine, Monocular Migraine หรือ Retinal Migraine เป็นชนิดของไมเกรนที่พบได้ไม่บ่อยนักและจะมีสัญญาณเตือน อาการไม่รุนแรง โดยไมเกรนตามักจะมีอาการที่ตาข้างใดข้างหนึ่ง ดังนี้
- เห็นแสงแฟลชในตา หรือเห็นไฟสีขาวเป็นแฉก และเห็นแสงระยิบระยับ
- มีอาการตามัวมองไม่เห็นเป็นบางส่วน ที่เรียกว่า Scotomata
- สูญเสียการมองเห็นที่ตาข้างใดข้างหนึ่งชั่วขณะ
โดยอาการผิดปกติที่ดวงตาเหล่านี้ มักเกิดขึ้นพร้อมกับอาการปวดศีรษะได้นานเป็นชั่วโมง ไม่ถือเป็นอาการที่ไม่ทำให้เกิดโรคต้อหิน ผู้ที่เป็นไมเกรนตามักจะเป็นไมเกรนชนิดอื่นร่วมด้วย
6. ไมเกรนในช่วงมีประจำเดือน (Menstrual Migraine)
ไมเกรนชนิดนี้จะมีความสัมพันธ์กับการมีประจำเดือน พบได้ถึง 60% ของผู้หญิงที่มีประจำเดือนทั้งหมด สามารถเกิดขึ้นโดยมีอาการนำหรือไม่มีก็ได้ และสามารถมีอาการทั้งก่อน ระหว่าง และหลังมีประจำเดือน รวมทั้งช่วงที่มีการตกไข่อีกด้วย เนื่องมาจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ที่ลดลงอย่างรวดเร็ว และอาการจะลดน้อยลงหรือหายไปเมื่อถึงวัยใกล้หมดประจำเดือน ยาที่ใช้รักษาอาการไมเกรนชนิดนี้ ควรเป็นตัวยาที่ออกฤทธิ์กับสารเซโรโทนินหรือฮอร์โมน
7. ไมเกรนที่มีอาการนำแต่ไม่มีอาการปวดหัว (Acephalgic Migraine)
เป็นอาการไมเกรนที่มักจะมีอาการนำมาก่อน ส่วนใหญ่จะเป็นอาการนำเกี่ยวกับสายตา แต่ไม่มีอาการปวดศีรษะตามมา มักเกิดขึ้นกับผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป โดยอาการนำ (Aura) จะเกิดขึ้นหลายนาที และค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นอาการอื่นๆ เช่น อาการชา มีปัญหาด้านการพูด รวมถึงปัญหาด้านการเคลื่อนไหวร่างกายบางส่วน แม้จะไม่ปวดหัวแต่ก็ทำให้เกิดความรำคาญ และอันตรายต่อการทำกิจกรรมบางอย่าง โดยเฉพาะการขับขี่ยานพาหนะ
สาเหตุของไมเกรน
ไมเกรน เป็นภาวะที่หลอดเลือดแดงในสมองมีการบีบและคลายตัวที่มากกว่าปกติ ซึ่งสาเหตุที่เกิดนั้นยังไม่มีความชัดเจน แต่เป็นไปได้ว่าอาจมีความเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าในสมอง สารเคมีในสมองโดยเฉพาะสารเซโรโทนิน (Serotonin) หรือความไวในการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นต่างๆ เช่น แสงแดดจ้า อากาศร้อน ฯลฯ
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดไมเกรน
- แสงแดดจ้า หรือแสงสว่างเกินไป
- อากาศที่ร้อนจัด
- เสียงดังรบกวน
- ความเครียด
- เกิดภาวะขาดน้ำ
- การดมกลิ่นไม่พึงประสงค์ อาจจะเป็นกลิ่นน้ำหอม หรือกลิ่นเหม็นอื่นๆ
- การออกกำลังกายหนักเกินไป
- การเปลี่ยนแปลงของแรงดันบรรยากาศ เช่น การเดินทางด้วยเครื่องบิน
- การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ อดหลับอดนอน หรือนอนไม่หลับ
- การนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ใช้สายตาอย่างหนัก หรือนั่งในท่าที่ไม่เหมาะสม
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในเพศหญิง เช่น การมีประจำเดือน ภาวะหลังคลอดบุตร การเข้าสู่วัยทอง ฯลฯ
- การใช้ยาบางตัว เช่น การรับประทานยาคุมกำเนิด ยาขยายหลอดเลือดในกลุ่มไนเตรตหรือ Nitroglycerin
- การรับประทานเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ หรืออาหารบางชนิดที่อาจไปกระตุ้นอาการไมเกรน เช่น ชีส อาหารแปรรูป ผงชูรส
อาการปวดหัวไมเกรนเป็นอย่างไร?
อาการปวดหัวไมเกรนหลักๆ คือ จะปวดหัวข้างเดียว ซึ่งอาจเป็นสลับข้างซ้ายและขวา หรือเป็นทั้ง 2 ข้าง สามารถปวดไปถึงท้ายทอยและกระบอกตาได้เช่นกัน โดยอาการปวดจะมีลักษณะปวดเป็นจังหวะหรือปวดตุบๆ เป็นเวลาหลายชั่วโมงไปจนถึงหลายวัน มักมีอาการปวดมากขึ้นเมื่อทำกิจกรรมต่างๆ เช่น เดิน ขึ้นบันได หรือเปลี่ยนท่าทาง มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน แพ้แสงหรือเสียงร่วมด้วย
ภาวะแทรกซ้อนจากไมเกรน
- อาการคลื่นไส้ (Nausea) เป็นอาการที่พบได้ทั่วไปในผู้ป่วยไมเกรน สามารถรับประทานยาแก้อาการคลื่นไส้ (Anti-nausea Medications) เช่น เมโทโคลพราไมด์ (Metoclopramide) หรือดอมเพอริโดน (Domperidone) เพื่อบรรเทาอาการได้
- อาเจียน (Vomiting) เป็นอาการที่พบได้มากในผู้ป่วยไมเกรนเช่นเดียวกัน โดยผู้ป่วยบางรายรู้สึกว่าอาการดีขึ้นหลังอาเจียน หากมีทั้งอาการปวดหัวไมเกรน ร่วมกับอาการคลื่นไส้ อาเจียน ควรไปพบแพทย์
- อาการเวียนศีรษะ (Vestibular Migraine) จะมีอาการเวียนหัวอย่างรุนแรงคล้ายบ้านหมุน โคลงเคลง ทรงตัวไม่อยู่ ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย พบมากในกลุ่มผู้ป่วยไมเกรนที่มีอาการแจ้งเตือน
- ส่งผลต่อสุขภาพจิต โดยอาการไมเกรนสามารถเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคทางจิตเวชได้ เช่น โรคซึมเศร้า โรคไบโพลาร์ โรควิตกกังวล โรคแพนิค
- ภาวะไมเกรนที่เกิดภาวะสมองขาดเลือด (Migrainous Infarction) โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) อยู่ก่อน แต่ไม่มีรายงานว่าไมเกรนทำให้เกิดโรคหลอดหลอดสมอง
- ปวดหัวจากการรับประทานยาแก้ปวดมากเกินไป (Medication-overuse headaches: MOH) โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ Aspirin, Ibuprofen หรือ Acetaminophen มากเกิน 14 วันต่อเดือน
อาการที่บ่งบอกว่าถึงเวลาต้องไปพบแพทย์
หากอาการไมเกรนมีความรุนแรง มีอาการปวดหัวมาก คลื่นไส้ และอาเจียน 2-3 ครั้งขึ้นไป มีอาการปวดบ่อยๆ เรื้อรัง หรือปวดหัวแต่ละครั้งเป็นระยะเวลานาน ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษา
การรักษาไมเกรน
- วิธีรักษาไมเกรนด้วยตัวเองในรายที่อาการไม่รุนแรง
การรักษาไมเกรนโดยทั่วไป มักจะใช้การรับประทานยาเป็นหลัก ซึ่งยาแต่ละชนิดมีผลข้างเคียงที่แตกต่างกัน ยาบางชนิดต้องสั่งโดยแพทย์หรือเภสัชกรเท่านั้น จึงควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา โดยควรรับประทานยาทันทีเมื่อเกิดอาการและไม่รับประทานยาแก้ปวดบ่อยจนเกินไป
หากมีอาการปวดหัวไมเกรนบ่อยมากควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ เช่น การทานยาป้องกันไมเกรน รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต หรือออกกำลังกาย และนวดเพื่อผ่อนคลาย - การผ่าตัดเพื่อรักษาไมเกรน
ปัจจุบันการผ่าตัดเพื่อรักษาไมเกรนยังไม่มีผลการศึกษาที่ชัดเจนว่าจะสามารถรักษาโรคไมเกรนให้หายขาดได้ แพทย์จึงมักแนะนำให้ผู้ป่วยรักษาด้วยวิธีอื่นที่มีความปลอดภัยมากกว่า
แต่ในบางรายที่แพทย์ลงความเห็นว่าการผ่าตัดจะช่วยบรรเทาอาการได้ แพทย์อาจให้ผู้ป่วยเข้ารับการการผ่าตัด โดยจะผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อบางส่วนที่แพทย์เห็นว่าเป็นต้นเหตุของไมเกรนออก เนื้อเยื่อดังกล่าวเป็นส่วนที่อยู่บริเวณผิวกระโหลกไม่ใช่ส่วนที่เป็นเนื้อสมอง หรือเรียกวิธีการนี้ว่า Neurectomy