เลือดกำเดาไหล

เราเชื่อว่าทุกคนล้วนเคยมีประสบการณ์ เลือดกำเดาไหล กันอย่างน้อยคนละ 1 ครั้งในชีวิต หรือต่อให้จะยังไม่เคยเกิดขึ้นกับตัวเอง ก็น่าจะเคยพบเห็น หรือเคยอยู่ในเหตุการณ์ที่มีเพื่อนหรือคนใกล้ตัวจู่ๆ เกิดเลือดกำเดาไหลกันมาบ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งหลายคนอาจมองว่าเลือดกำเดาไหลนั้นเป็นเพียงแค่อาการผิดปกติธรรมดาๆ ที่เกิดจากเส้นเลือดฝอยในจมูกแตก จากการแคะจมูก หรืออุณหภูมิในร่างกายที่สูงขึ้น แต่ความจริงที่ทุกคนอาจเผลอลืมไปหรือไม่เคยรู้มาก่อนนั่นก็คือ เลือดกำเดาไหล ถือเป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนภัยที่บอกเราได้ว่า เราอาจกำลังจะป่วยเป็นโรคร้ายแรงอยู่ก็ได้ ดังนั้นการทำความรู้จักกับอาการเลือดกำเดาไหลให้ลึกซึ้งมากขึ้น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยทำให้เราประเมินอาการและความเสี่ยงของโรคภัยได้อย่างเท่าทัน

เลือดกำเดาไหลคืออะไร ทำความเข้าใจให้รู้เท่าทัน?
“เลือดกำเดาไหล”
 หรือ “Epistaxis” เป็นภาวะเลือดออกทางจมูก ที่สามารถแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือภาวะเลือดออกทางจมูกด้านหน้า ซึ่งมักจะไม่ค่อยรุนแรง และภาวะเลือดออกทางจมูกด้านหลังโพรงจมูก ซึ่งเป็นบริเวณที่มีเส้นเลือดที่ใหญ่กว่าด้านหน้า จึงทำให้มีอาการรุนแรงกว่า มีเลือดออกปริมาณมากกว่า และสามารถทำให้มีเลือดออกทางปากได้ด้วย คือถ้าคนไข้ไม่รู้ตัวว่ามีเลือดออกทางโพรงจมูกด้านหลัง ก็จะกลืนลงไป และส่งผลทำให้มีอาการอาเจียนเป็นเลือด หรือถ้าลงปอด ก็อาจมาด้วยอาการไอเป็นเลือดได้ ทั้งนี้โดยส่วนใหญ่แล้วภาวะเลือดออกทางจมูกที่มาจากด้านหลังโพรงจมูก มักมีสาเหตุมาจากอันตรายที่ร้ายแรงกว่าภาวะเลือดออกทางจมูกด้านหน้า

เลือดกำเดาไหล เพราะสาเหตุใด

เลือดกำเดาไหล

สาเหตุที่ทำให้เลือดกำเดาไหลนั้น สามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือ ภาวะโรคในจมูก และ ภาวะร่างกายที่ผิดปกติ ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

ทั้งนี้เส้นเลือดฝอยในจมูกแตกจน เลือดกำเดาไหลนั้น ถือเป็นปลายเหตุที่เกิดจากความผิดปกติในร่างกาย ที่ทำให้เส้นเลือดฝอยแตกและเลือดออก ซึ่งสาเหตุก็อาจเป็นได้ทั้งมีก้อนที่จมูก หรือมีปัญหาโรคเลือดก็ได้ ซึ่งจำเป็นต้องหาสาเหตุให้พบ เพราะปกติเส้นเลือดคนเรานั้นจะไม่แตกง่ายๆ ยกเว้นแต่มีสาเหตุกระตุ้นให้แตก เช่น ไปกระแทก เกิดอุบัติเหตุ หรือขาดวิตามินต่างๆ อย่างวิตามินเค ซึ่งจะทำให้เส้นเลือดแตกได้ง่าย

สัญญาณเตือนจากเลือดกำเดาไหล

1. เนื้องอก

สาเหตุ : มะเร็ง หรือเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรงที่มีเส้นเลือดมาเลี้ยง เกิดขึ้นในจมูก ไซนัส หรือหลังโพรงจมูก
อาการ : เลือดออกเป็นบางครั้ง หรือเลือดออกจมูกปริมาณมากควรส่องกล้องตรวจโพรงจมูก หรือเอกซเรย์เพื่อตรวจวินิจฉัย

2. การระคายเคือง หรือบาดเจ็บในจมูก

สาเหตุ : แคะจมูกบ่อย ได้รับแรงกระแทกที่จมูก สั่งน้ำมูกแรง ๆ อากาศแห้งความกดอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น ขึ้นเครื่องบิน
อาการ : เลือดมักออกไม่มาก และเป็นระยะเวลาสั้น ๆ อาจมีเลือดออกช้ำในช่วงที่ใกล้หาย

3. การอักเสบในโพรงจมูก

สาเหตุ : จากการติดเชื้อไวรัส ภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ ใช้เครื่องอัดอากาศขณะนอนหลับ
อาการ : มีเลือดออกปนมากับน้ำมูก

4. ความผิดปกติทางกายวิภาค

สาเหตุ : ผนังกั้นช่องจมูกคด หรือมีกระดูกงอกผิดที่ รวมถึงมีรูทะลุทำให้เกิดความไม่สมดุลของอากาศ
อาการ : เลือดมักไหลในจมูกข้างเดิม และเป็นซ้ำในจุดที่ผนังกั้นช่องจมูกคดหรือมีกระดูกงอก เยี่ยมชมพันธมิตรของเรา,shoes – ผู้นำด้านรองเท้าแฟชั่น!

เลือดกำเดาไหลควรก้มหน้าหรือเงยหน้า

เลือดกำเดาไหล

เวลาเลือดกำเดาไหล หลายคนมักจะรีบเงยหน้าขึ้นทันที เพื่อหวังจะให้เลือดหยุดไหล แต่รู้หรือไม่ว่า การทำแบบนั้นนอกจากจะไม่ได้ช่วยให้เลือดหยุดไหลเร็วขึ้นแล้ว ยังจะทำให้เลือดไหลย้อนกลับเข้าจมูก และอาจจะสำลัก หรืออาเจียน หรืออาจเกิดอันตรายอื่นๆ ตามมาได้ เพราะฉะนั้นแล้ว…ขอให้ลืมไปเลยว่าเวลาเลือดกำเดาไหลให้เงยหน้า…เพราะนั่นถือเป็นความเชื่อที่ผิด สมาคมแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ American Academy of Family Medicine หรือ AAFP กล่าวว่า วิธีการรักษาที่ดีที่สุด คือ การนั่งเอนตัวหรือก้มศีรษะไปข้างหน้าเพื่อช่วยให้เลือดไหลออกจากจมูก และทำให้เลือดไม่ถูกเก็บกักไว้หรือไหลลงสู่หลอดอาหาร

ดังนั้นจึงเป็นอันสรุปได้ว่า สิ่งที่ควรทำเมื่อเกิดเลือดกำเดาไหล คือ การก้มหน้า แล้วค่อย ๆ นั่งลง จากนั้นจึงเริ่มการปฐมพยาบาลตามขั้นตอนที่ถูกต้องต่อไป

เลือดกำเดาไหล ปฐมพยาบาล ยังไง?

เลือดกำเดาไหล

1. บีบจมูกให้เลือดหยุดไหล

เมื่อเลือดกำเดาไหล ให้เราหยุดทำกิจกรรมทุกสิ่ง แล้วมานั่งนิ่ง ๆ โดยโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย (ห้ามยืนนะครับ) จากนั้นให้ใช้มือบีบที่บริเวณรูจมูกค้างไว้ประมาณ 5 นาที ในระหว่างนี้ให้เราหายใจทางปากแทนก่อน ซึ่งข้อควรระวังคือ ห้ามแหงนหน้าเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เลือดไหลกลับลงเข้าคอ  และทำให้สำลักหรืออาเจียนได้

2. ใช้น้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบจมูก

การใช้น้ำแข็งที่มีคุณสมบัติเย็นประคบบริเวณจมูก จะช่วยทำให้เลือดแข็งตัวและหยุดไหลได้เร็วยิ่งขึ้น  โดยจะทำในขณะที่เอามือบีบจมูกให้เลือดหยุดไหล

3. ทำความสะอาดจมูกหลัง

หลังจากเลือดหยุดไหลแล้ว ให้ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดทำความสะอาดคราบเลือด  บริเวณรอบจมูกและปาก หลังจากเลือดหยุดไหลแล้ว ห้ามสั่งน้ำมูกแรง ๆ ล้วง เกา แคะจมูกเด็ดขาด! เพราะอาจทำให้จมูกสะเทือนจนเลือดกำเดากลับมาไหลอีกครั้ง

4. เลือดกำเดาไม่หยุดไหลให้รีบนำส่งโรงพยาบา

เมื่อทำตามขั้นตอนข้างต้น แล้วเลือดยังไหลไม่หยุด ให้รีบนำส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด  เพราะถ้าเลือดไหลออกจำนวนมากเกินไปอาจเป็นอันตรายได้ 

เลือดกำเดาไหลแบบไหน เป็นสัญญาณเตือนภัยว่าต้องไปพบแพทย์

วิธีการสังเกตอาการเลือดกำเดาไหล ว่าเป็นอันตรายร้ายแรงหรือไม่มากแค่ไหน สามารถสังเกตได้จากลักษณะการไหลและสีของเลือดที่ไหลออกมา โดยหาพบว่ามีอาการเลือดกำเดาไหลในลักษณะดังต่อไปนี้ การรีบไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยคือหนทางที่ดีที่สุด

  1. เลือดกำเดาไหลบ่อย ไหลซ้ำบริเวณรูจมูกข้างเดิมข้างเดียวตลอด
  2. เลือดกำเดาไหลปริมาณมาก แม้จะเป็นครั้งเดียวแต่ก็ควรไปพบแพทย์
  3. เลือดกำเดาไหลในลักษณะเป็นก้อนลิ่มเลือด
  4. เลือดกำเดาไหลนานต่อเนื่องไม่หยุดภายใน 10 นาที
  5. สีของเลือดกำเดาถ้าเป็นสีแดงสด จะรุนแรงน้อยกว่าสีชมพูจางๆ
  6. เลือดกำเดาไหลร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น คัดจมูก หูอื้อ รู้สึกมีก้อนในโพรงจมูกหรือที่คอ

หากเลือดกำเดาไหลเล็กน้อย หรือนาน ๆ ไหลที อาจเกิดจากเลือดออกจากบริเวณจมูกด้านหน้า ซึ่งไม่ได้เป็นอันตรายอะไรมาก แต่สิ่งที่ควรระวังคือ เลือดออกจากด้านหลังโพรงจมูก  เพราะเลือดจะออกมาเป็นจำนวนมากเนื่องจากหลอดเส้นเลือดจะใหญ่กว่า ซึ่งบางครั้งอาจทำให้เลือดออกมาทางปากด้วย 

อาการเลือดกำเดาไหลมักหายเองได้เป็นปกติ แต่ถ้าเลือดกำเดาไหลบ่อย แล้วไม่มีท่าว่าจะหยุดไหล หรือออกมาเป็นลิ่มเลือดที่รูจมูกข้างเดียวตลอด ให้รีบไปปรึกษาแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติของร่างกาย เช่น โรคเนื้องอกในโพรงจมูก โรคมะเร็งหลังโพรงจมูก วัณโรค เป็นต้น เมื่อไปพบแพทย์ ทางแพทย์จะวินิจฉัยเพื่อหาสาเหตุของอาการเลือดกำเดาไหลต่อไป 

เมื่อคุณเลือดกำเดาไหล อย่ามองว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะหากไม่ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างถูกวิธี ก็อาจเป็นอันตรายกับคุณได้เช่นกัน 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *