แมงดาทะเล สัตว์ที่แทบไม่เปลี่ยนแปลงรูปร่างไปจากบรรพบุรุษ
แมงดาทะเล (Horseshoe Crab) คือสัตว์ทะเลชนิดหนึ่งซึ่งในทางชีววิทยามักถูกเรียกรวมกับแมงมุม เห็บ กุ้ง ปู กิ้งกือ ตะขาบ และแมลงชนิดต่าง ๆ เรียกรวมว่า “สัตว์ขาข้อ” (Arthropod) ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง (Invertebrate) ในไฟลัมอาร์โทรโพดา (Arthropoda) โดยแมงดาทะเลถูกจัดจำแนกอยู่ในหมวดชั้น (Class) เมอโรสโตมาตา (Merostomata) หรือกลุ่มแมงดา
แมงดาทะเลนับเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ที่ยังคงดำรงอาศัยอยู่บนโลก ณ เวลานี้ จากการถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อกว่า 400 ล้านปีมาแล้ว ในปัจจุบัน โลกของเราเหลือแมงดาทะเลอยู่เพียง 4 ชนิด มี 2 ชนิดที่อาศัยอยู่ตามพื้นที่ชายฝั่งทะเลของประเทศไทย และอีก 2 ชนิด อาศัยอยู่ในพื้นที่มหาสมุทรแอตแลนติกและมหาสมุทรอินเดีย-แปซิฟิก แมงดาทะเลเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการมายาวนาน แต่โครงสร้าง รูปร่างทางสรีรวิทยา และรูปลักษณ์ภายนอกของพวกมัน ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากบรรพบุรุษของแมงดาทะเลทั้งหลายมากนัก
โครงสร้างหลักทางชีววิทยา
- แมงดาทะเลมีส่วนหัว (Prosoma) และส่วนอก (Opisthosoma) ที่เชื่อมติดกัน มีโครงร่างแข็งภายนอก ลักษณะคล้ายเกือกม้า
- มีดวงตาที่สามารถมองเห็นได้ดีในความมืดอยู่ด้านข้างของส่วนหัว
- มีรยางค์ 6 คู่ : 1 คู่ บริเวณปากสำหรับการกินอาหาร และอีก 5 คู่ ทำหน้าที่เป็นขา สำหรับการเคลื่อนที่
- ส่วนท้องมีลักษณะเป็นรูปหกเหลี่ยม มีแผ่นเหงือกปกคลุมสำหรับใช้ในการแลกเปลี่ยนก๊าซหรือการหายใจใต้น้ำ บริเวณด้านข้างของลำตัวมีหนามแหลม
- มีหาง (Telson) เรียวยาว ปลายแหลมคม และปกคลุมด้วยเปลือกแข็ง ใช้สำหรับการเคลื่อนที่ การว่ายน้ำและการทรงตัว
แหล่งที่อยู่อาศัยและวงจรชีวิต
แมงดาทะเลเป็นสัตว์ที่พบได้ทั่วไปบริเวณป่าชายเลนและตามพื้นที่ชายฝั่งทะเล รวมถึงบริเวณหาดทรายและหาดโคลน ซึ่งมีระดับน้ำทะเลไม่สูงนัก แต่แมงดาทะเลส่วนใหญ่ใช้เวลาเกือบทั้งปีใต้ทะเลน้ำลึก กินพวกหอย (Molluscs) และไส้เดือนทะเลชนิดต่าง ๆ (Polychaetes) เป็นอาหาร
เมื่ออากาศเข้าสู่ช่วงอบอุ่น (ฤดูใบไม้ผลิ-ฤดูร้อน) ของทุกปี แมงดาทะเลจะอพยพมายังเขตน้ำตื้น เพื่อจับคู่ผสมพันธุ์ตามบริเวณชายหาด โดยที่ตัวเมียสามารถวางไข่ได้มากถึง 90,000 ฟองต่อฤดูกาล แม้ว่าไข่เหล่านี้ จะมีสัดส่วนเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่สามารถอยู่รอดจนกระทั่งเติบโตเต็มวัย เนื่องจากตัวอ่อนและไข่ของแมงดาทะเลเป็นแหล่งอาหารหลักของนกอพยพและสัตว์ทะเลหลากหลายชนิด ตัวอ่อนของแมงดาทะเลมีการลอกคราบหลายครั้ง (ราว 15 ถึง 20 ครั้งต่อปี) ซึ่งจะลดลงตามลำดับเมื่อแมงดาทะเลเข้าสู่ช่วงโตเต็มวัย แมงดาทะเลที่โตเต็มที่จะมีอายุราว 9 ถึง 12 ปี จึงมีความพร้อมที่จะผสมพันธุ์และวางไข่อีกครั้ง
“แมงดาทะเล” สัตว์เลือดสีน้ำเงินชนิดเดียวในโลก ที่มีคุณประโยชน์ต่อมนุษยชาติอย่างล้นเหลือ
ที่แมงดาทะเลมีเลือดเป็นสีน้ำเงิน (hemocyanin) เนื่องจากมีทองแดงผสมอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งถูกนำมาใช้ประโยชน์ในวงการแพทย์ โดยการใช้เลือดแมงดาทะเลไปสกัดเป็นสารที่เรียกว่า Limulus amoebocyte lysate (LAL) ในการตรวจหาเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายที่อาจจะปนเปื้อนในวัคซีน หรือในอุปกรณ์การแพทย์ต่างๆ
ซึ่งหากใช้เลือดแมงดาทะเล หรือตัวทำปฎิกิริยานี้ ฉีดเข้าไป แล้วสารเหล่านั้นมีการเปลี่ยนสี หรือแข็งตัว ก็แปลว่า มีไวรัส เลือดของแมงดาจึงมีความสำคัญมาก เพราะมีคุณสมบัตินี้ มันก็เลยถูกจับมาใช้ในวงการทางการแพทย์ เพื่อทดลอง และในปัจจุบันพบว่ามีการนำไปผสมลงในวัคซีนเพื่อนำไปสู่กระบวนการการให้วัคซีนแก่ผู้ป่วย
ในครั้งที่มนุษย์ยังไม่รู้ถึงประโยชน์ทางการแพทย์ของแมงดาทะเล มันก็จะถูกจับมาเพื่อนึ่งให้สุกแล้วบดเป็นผง เพื่อเอาไปทำปุ๋ยหรือไม่ก็อาหารสัตว์ ทำให้ในปีหนึ่งๆมีแมงดาทะเลเสียชีวิตเป็นจำนวนมากแบบไร้ประโยชน์
ตอนนี้เมื่อมนุษย์เราได้ค้นพบถึงประโยชน์ของเลือดแมงดาแล้ว ชาวประมงจะใช้เรือประมงขนาดใหญ่ออกจับแมงดาทะเลในฤดูวางไข่ แล้วส่งมันไปที่ห้องปฏิบัติการ โดยเหล่าแมงดาทะเลถูกจับมัดติดไว้กับชั้นวางเพื่อรีดเลือด
พนักงานจะใช้หลอดแทงเข้าไปที่หัวใจของแมงดาทะเล จะมีเลือดไหลออกมาปริมาณ 30% ขั้นตอนการรีดเลือดใช้เวลา 24 – 72 ชั่วโมง หลังจากนั้นประมาณหนึ่งสัปดาห์เลือดของแมงดาจะฟื้นฟูกลับมาเหมือนเดิม การรีดเลือดเป็นเหตุให้แมงดาเสียชีวิตประมาณ 10 – 30% เพราะว่าการที่มนุษย์จับแมงดาที่ละจำนวนมากๆขึ้นฝั่งมาเพื่อไข่แมงดาลดน้อยลงเรื่อยๆ หลังจากผ่านขั้นตอนการรีดเลือดแมงดาจะอยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น แมงดาเพศเมียที่โดนรีดเลือดจะมีโอกาสให้กำเนิดลูกหลานในปริมาณที่ลดต่ำลงอย่างมาก นับได้ว่าเป็นขั้นตอนที่โหดร้ายมากเลยทีเดียว
แมงดาทะเล 2 ชนิดที่พบได้ในประเทศไทย ได้แก่
แมงดาถ้วย หรือแมงดาไฟ (Carcinoscorpius Rotundicauda) หรือ “เห-รา” ในภาษาท้องถิ่น
- มีลำตัวโค้งมน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 15 เซนติเมตร ผิวด้านบนเรียบมัน มีสีน้ำตาลอมแดง
- ส่วนด้านหน้ามีรูปทรงคล้ายพระจันทร์เสี้ยวหรือรูปเกือกม้า
- ต่อจากส่วนท้องมีหางค่อนข้างกลมมนคล้ายดินสอ ไม่มีสันหรือหนามแหลม
- เป็นสัตว์ทะเลมีพิษที่เรียกว่า “สารเตโตรโดทอกซิน” (Tetrodotoxin) หรือ “สารแซกซิทอกซิน” (Saxitoxin) โดยเฉพาะในไข่ของมัน ซึ่งไม่ควรนำมาบริโภค เนื่องจากพิษของแมงดาทะเลส่งผลต่อระบบประสาท และมีอันตรายถึงชีวิต
แมงดาจาน หรือแมงดาหางเหลี่ยม (Tachypleus Gigas)
- มีขนาดใหญ่กว่าแมงดาถ้วย ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางลำตัวประมาณ 20-30 เซนติเมตร ผิวด้านบนมีสีน้ำตาลอมเขียว
- ลำตัวแบนและกว้างคล้ายจาน
- มีลำตัวส่วนล่างและหางคล้ายรูปสามเหลี่ยม ซึ่งมีหนามแหลมเรียงชิดติดกันเป็นแถวคล้ายฟันเลื่อย
- เป็นสัตว์ทะเลที่มีพิษไม่มากนัก สามารถนำไข่แมงดาจานมาบริโภคได้
- ปัจจุบัน แมงดาจานมีประชากรลดต่ำลงอย่างมากในประเทศไทย ซึ่งเสี่ยงต่อภาวะการสูญพันธุ์ในอนาคต
การนำแมงดาทะเลมาประกอบอาหารด้วยการผ่านความร้อน ไม่ว่าจะเป็นการต้ม การปิ้ง หรือการทอด กรรมวิธีเหล่านี้ ไม่สามารถทำลายพิษของแมงดาทะเลลงได้ อีกทั้ง ในปัจจุบัน ยังไม่มียารักษาพิษชนิดนี้โดยเฉพาะ ซึ่งการรักษาส่วนใหญ่ มีเพียงการนำพิษออกจากร่างกายผู้ป่วยโดยตรงเท่านั้น จึงมีโอกาสเสี่ยงสูงที่ผู้ป่วย ซึ่งได้รับพิษจะจบลงด้วยการเสียชีวิต ดังนั้น การนำแมงดาทะเลมารับประทานควรผ่านการปรุงจากผู้เชี่ยวชาญ ประชาชนทั่วไปไม่ควรนำไข่แมงดามาปรุงรับประทานกันเอง โดยเฉพาะในช่วงฤดูวางไข่ของพวกมัน ซึ่งไข่ของแมงดาทะเลมีการสะสมสารพิษสูงสุด