ทำไมแบตเตอรี่โทรศัพท์ของคุณจึงดูเหมือนประสิทธิภาพของมันแย่ลงลงเมื่อเวลาผ่านไป? ในตอนแรกมันอาจจะมีพลังงานเหลือเฟือในตอนที่คุณเข้านอน แต่เมื่อเวลาผ่านไปคุณจะพบว่าแบตเตอรี่ของคุณเต็มเพียงครึ่งเดียวในเวลาตอนเช้าหลังตื่นนอน
แน่นอนค่ะว่าส่วนหนึ่งเป็นวิธีที่คุณใช้โทรศัพท์ของคุณ อย่างแอปที่คุณติดตั้ง เป็นแอปขยะที่ชอบแจ้งเตือนบ่อย ๆ และคุณอาจจะได้รับการแจ้งเตือนมากขึ้นเรื่อย ๆ จะทำให้แบตเตอรี่มีการใช้พลังงานมากตามขึ้น สิ่งที่ควรพิจารณาอีกประการหนึ่งคือแบตเตอรี่โทรศัพท์จะลดลง เมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งหมายความว่าแบตเตอรี่เหล่านี้ไม่สามารถยิดพลังงานแบตได้เท่าเดิม แม้ว่าแบตเตอรี่เหล่านี้ควรมีอายุการใช้งานระหว่าง 3-5 ปี หรือระหว่างรอบการชาร์จ 500 – 1,000 ครั้งก็ตาม อย่างไรก็ตามด้วยเคล็ดลับของเราที่จะมาบอกในวันี้ มันจะดูแลแบตเตอรี่ที่ดีที่สุด โดยคุณจะสามารถรักษาสุขภาพแบตเตอรี่ของสมาร์ทโฟนของคุณได้นานขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ
1. ควรชาร์จโทรศัพท์เมื่อใด
คุณต้องทำให้แบตเตอรี่ของคุณมีพลังงานเหลืออยู่ระหว่าง 30 – 90% เกือบตลอดเวลาในระหว่างวัน ดังนั้นคุณควรชาร์จเมื่อมันมีแบตต่ำกว่า 50% และให้ถอดที่ปลั๊กออกก่อนที่จะถึง 100% แต่ขั้นตอนที่ยุงยากเพราะคุณจะต้องคอยดูระดับแบตเตอรี่บ่อย ๆ คุณจึงเลือกที่จะชาร์จแบบทิ้งไว้ข้ามคืนไปเลยใช่มั้ยคะ? ซึ่งการชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์ให้เต็มแบบทิ้งไว้ แม้ว่าจะไม่เป็นอันตรายต่อแบตเตอรี่โทรศัพท์ แต่การชาร์จเต็มทุกครั้งที่ชาร์จจะทำให้อายุการใช้งานสั้นลงได้ค่ะ นอกจากนี้คุณไม่ควรปล่อยให้แบตเตอรี่โทรศัพท์ของคุณต่ำกว่า 20% แล้วชาร์จ แนะนำให้ชาร์จเมื่อต่ำกว่า 50% ค่ะ
2. ควรชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์ให้เต็ม 100% หรือไม่?
คำตอบคือไม่ควรค่ะ หรืออย่างน้อยก็ไม่ใช่ทุกครั้งที่คุณชาร์จ บางคนแนะนำให้คุณชาร์จแบตเตอรี่เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ (รอบการชาร์จ) เดือนละครั้ง เนื่องจากการปรับเทียบแบตเตอรี่ใหม่จะเหมือนกับการรีสตาร์ทคอมพิวเตอร์ แต่คนอื่นมองเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องที่ล้าสมัยไปแล้ว เพราะมันมีไว้ใช้กับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนในโทรศัพท์เก่า ๆ เท่านั้น
ดังนั้นเพื่อให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่ในระยะยาวของคุณ ให้มีคุณภาพแตเตอรี่ที่ดีการชาร์จเพียงเล็กน้อยแต่ชาร์จบ่อย ๆ จะดีกว่าการชาร์จเต็มไปเลยหนึ่งครั้งค่ะ
3. ควรชาร์จโทรศัพท์ข้ามคืนหรือไม่?
ตามกฎแล้วคุณควรหลีกเลี่ยง แม้ว่ามันจะสะดวกในการตื่นขึ้นมาพร้อมกับแบตเตอรี่ที่เต็มในตอนเช้า แต่การชาร์จเต็มแต่ละครั้งจะนับเป็น ‘รอบ’ และโทรศัพท์ของคุณ ซึ่งมันถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ใช้งานได้ตามจำนวนที่กำหนดเท่านั้น ในขณะที่สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่มีเซ็นเซอร์ในตัว เพื่อปิดการชาร์จเมื่อถึง 100% แต่บางทีมันหากมันยังเปิดอยู่ก็จะทำให้แบตเตอรี่หายไปเล็กน้อยในขณะที่ไม่ได้ใช้งานค่ะ
4. การใช้ฟังก์ชันชาร์จเร็วจะทำให้โทรศัพท์เสียหายหรือไม่?
สมาร์ทโฟนสมัยใหม่ส่วนใหญ่รองรับการชาร์จเร็ว แต่คุณอาจจะต้องซื้ออุปกรณ์เสริมเพิ่มเติมเพื่อรองรับมาตรฐานอุตสาหกรรมคือ Quick Charge ของ Qualcomm ซึ่งให้พลังงาน 18W อย่างไรก็ตามผู้ผลิตโทรศัพท์หลายรายมีมาตรฐานการชาร์จเร็วของตัวเอง ซึ่งหลายรายก็สามารถส่งมอบความเร็วที่เร็วขึ้นได้ด้วยการปรับรหัสการจัดการพลังงาน เพื่อขอให้ส่งประจุไฟฟ้าที่สูงขึ้น อาทิเช่นตอนนี้ Samsung ขายที่ชาร์จในกำลังสูงถึง 45W แล้ว
แม้ว่าการชาร์จอย่างรวดเร็วจะไม่เป็นอันตรายต่อแบตเตอรี่โทรศัพท์ของคุณ แต่ในเรื่องความร้อนก็อาจจะที่เกิดขึ้นได้ มันอาจจะส่งผลต่ออายุการใช้งานในอนาคต ดังนั้นคุณจะต้องเรียนรู้ที่จะใช้ฟังก์ชันการชาร์จเร็วแบบพอดี ๆ ในช่วงเวลาที่เร่งรีบจริง ๆ จะดีกว่าใช้การชาร์จเร็วเป็นประจำทุก ๆ วันค่ะ
5. ทำให้แบตเตอรี่โทรศัพท์เย็นอยู่เสมอ
ความร้อนเป็นศัตรูตัวฉกาจของแบตเตอรี่ อย่าปล่อยให้แบตเตอรี่ของคุณร้อนหรือเย็นเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชาร์จไฟ หากโทรศัพท์ร้อนเกินไป แบตเตอรี่ของคุณจะเสียหายได้ ดังนั้นพยายามทำให้โทรศัพท์เย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะ
6. การจัดเก็บเคล็ดลับแบตเตอรี่
อย่าทิ้งแบตเตอรี่ลิเธียมไว้ที่ 0% นานเกินไป หากคุณไม่ได้ใช้งานเป็นระยะเวลาหนึ่งให้ทิ้งไว้แบบยังคงมีแบตเตอรี่อยู่บ้าง โดยชาร์จประมาณ 50% คุณจะพบว่าแบตเตอรี่จะหมดระหว่าง 5% ถึง 10% ในแต่ละเดือน และหากคุณปล่อยให้แบตเตอรี่หมดก็อาจไม่สามารถเก็บประจุได้เลย นั่นอาจเป็นสาเหตุที่อายุการใช้งานแบตเตอรี่ของโทรศัพท์เครื่องเก่าแย่ลงมาก หลังจากเก็บไว้ในลิ้นชักไม่กี่เดือนแม้ว่าจะไม่ได้ใช้ก็ตาม
นี้คือสิ่งที่จะช่วยให้แบตเตอรี่มือถือเราอยู่กับเราได้นานมากขึ้น และทั้ง 5 ข้อนี้เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องเตรียมการอะไรเลย โดยหลักแล้วก็คือ ” อย่าปล่อยให้แบตหมด อย่าให้ร้อน ใช้ที่ชาร์จของมันเอง ” แค่ 3 ประโยคสั้น ๆ จำง่าย ๆ นี้ก็ช่วยให้แบตเตอรี่เสื่อมยากขึ้นมากแล้ว