กาแฟ 

ถือเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน และในปัจจุบันก็ยังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง   สังเกตได้จากเวลาเราเดินทางไปสถานที่ต่าง ๆ ก็มักจะเห็นร้านกาแฟเกิดขึ้นมากมายหลากหลายร้าน

สำหรับใครที่กำลังเริ่มดื่มกาแฟอยู่ล่ะก็ อาจจะยังไม่ทราบว่า กาแฟแต่ละชนิดแตกต่างกันอย่างไร ในวันนี้เราได้นำสาระความรู้เกี่ยวกับความแตกต่างของกาแฟแต่ละชนิดมาฝาก โดยสามารถศึกษาได้จากบทความนี้ได้เลยค่ะ

ประวัติ

เชื่อกันว่ากาแฟถูกค้นพบครั้งแรกโดยเด็กเลี้ยงแพะชาวอาบิสซีเนีย (ประเทศเอธิโอเปียในปัจจุบัน) ชื่อคาลดี จากการสังเกตพบว่า แพะดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นเมื่อกินผลไม้สีแดงของต้นไม้ต้นหนึ่ง ซึ่งก็คือต้นกาแฟนั่นเอง ในช่วงก่อนศตวรรษที่ 16 กาแฟถูกปลูกโดยชาวอาหรับเท่านั้น คำว่ากาแฟ เป็นคำที่มาจากคำว่า “เกาะหฺวะหฺ” ในภาษาอาหรับ แล้วเพี้ยนเป็น กาห์เวห์ ในภาษาตุรกี ก่อนที่จะกลายเป็น คอฟฟี ในภาษาอังกฤษ และกาแฟ ในภาษาไทย ชาวอาหรับหวงแหนพันธุ์กาแฟมาก จึงส่งออกเฉพาะเมล็ดกาแฟที่คั่วสุกแล้วเท่านั้น แต่ในที่สุดเมล็ดกาแฟก็ออกมาสู่โลกกว้าง โดยการลักลอบนำออกมาโดยชาวอินเดียที่ไปแสวงบุญที่เมกกะ และก็ได้แพร่ขยายไปยังชวา เนเธอร์แลนด์ และทั่วยุโรปในที่สุด สำหรับทวีปอเมริกานั้น ต้นกาแฟถูกนำไปอย่างยากลำบาก โดยทหารเรือฝรั่งเศสในต้นศตวรรษที่ 18 ในครั้งแรกนั้น มีต้นกาแฟที่เหลือรอดชีวิตบนเรือมาขึ้นฝั่งอเมริกาได้เพียง 1 ต้น และก็ได้แพร่ขยายเพิ่มขึ้น จนปัจจุบันดินแดนแห่งนี้ ได้กลายเป็นดินแดนที่ปลูกกาแฟมากที่สุดในโลก

ชนิดของเมล็ดกาแฟ

ต้นกาแฟอาราบิก้า – บราซิลกาแฟมีมากกว่า 6,000 พันธุ์ แต่พันธุ์หลักๆ ที่ได้รับความนิยมมี 2 พันธุ์ ได้แก่ อาราบิก้า (Arabica) ซึ่งเป็นกาแฟแบบดั้งเดิม และมีรสชาติดี และ โรบัสต้า (Robusta) ซึ่งมีปริมาณกาเฟอีนสูง และสามารถปลูกในที่ที่ปลูกอาราบิก้าไม่ได้ (คำว่า robust ในภาษาอังกฤษ แปลว่า ทนทาน) ด้วยความที่มีความทนทานมากกว่านี้เอง จึงทำให้กาแพโรบัสต้ามีราคาถูกกว่า แต่ผู้คนนิยมดื่มไม่มากนักเนื่องจากมีรสขมและเปรี้ยว ส่วนโรบัสต้าที่มีคุณภาพดีมักถูกนำไปใช้เป็นส่วนผสมของเอสเพรสโซ่ แบบผสม (เอสเพรสโซ่มีสองแบบใหญ่ๆ คือแบบที่เป็นอาราบิก้าแท้ๆ กับแบบที่ผสมกาแฟชนิดอื่นๆ)

          กาแฟอาราบิก้ามักจะมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามชื่อท่าเรือที่ใช้ส่งออก ท่าเรือที่เก่าแก่ที่สุดสองที่ได้แก่ ม็อคค่า (Mocha) และ ชวา (Java) กาแฟในปัจจุบันยิ่งมีความเจาะจงในที่ปลูกมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องมีการระบุถึงประเทศ ภูมิภาค และบางครั้งต้องบอกว่าปลูกที่พื้นที่บริเวณไหนเลยทีเดียว ผู้เชี่ยวชาญเรื่องกาแฟอาจจะถึงกับต้องประมูลกาแฟกัน โดยดูว่าเป็นล็อตหมายเลขเท่าใด กาแฟชนิดโรบัสต้าที่มีมูลค่าสูงที่สุดชนิดหนึ่งได้แก่ โกปิ ลูวัค (Kopi Luwak) ของอินโดนีเซีย เมล็ดของกาแฟชนิดนี้ถูกเก็บขึ้นมาจากมูลของชะมด (Common Palm Civet) (ตระกูล Paradoxirus)ซึ่งกระบวนการย่อยภายในร่างกายชะมดทำให้ได้รสชาติที่ดีเป็นพิเศษ เรียกเป็นภาษาไทยว่า กาแฟขี้ชะมด

ความแตกต่างของกาแฟแต่ละชนิด

เอสเปรสโซ (Espresso) คือ กาแฟที่มีต้นกำเนิดจากประเทศอิตาลีเป็นครั้งแรก ที่มาของชื่อเอสเปรสโซ (Espresso )  มาจากการชงด้วยไอน้ำหรือปั้มน้ำ ซึ่งจะมีรสชาติเข้มข้น เนื่องจากเป็นกาแฟล้วนที่ได้เมล็ดกาแฟคั่วบดละเอียด โดยเมนูนี้ จะไม่มีการเติมน้ำตาลหรือนมเพิ่มลงไป ที่สำคัญควรดื่มตอนชงใหม่ ๆ เพื่อให้ได้สัมผัสกับรสชาติของกาแฟที่แท้จริง และกลิ่นของกาแฟที่หอมกรุ่น ๆ มากขึ้นนั่นเอง

อเมริกาโน่ (Americano) เป็นกาแฟที่ชงด้วยกระบวนการเดียวกันกับกาแฟเอสเปรสโซ (Espresso) แต่จะเติมน้ำร้อนลงไปด้วย เพื่อให้มีรสชาติที่บางกว่า ขมน้อยกว่า ส่วนใหญ่จะนิยมดื่มโดยไม่เติมน้ำตาลหรือนม เพื่อให้ได้รสชาติและความหอมของกาแฟที่แท้จริง แต่ทั้งนี้ก็สามารถเติมน้ำตาลเพื่อเพิ่มรสชาติเล็กน้อย ดื่มได้ทั้งแบบร้อนและแบบเย็น

มอคค่า (Mocha) คือ กาแฟเอสเปรสโซ่ที่นำไปชงกับส่วนผสมอื่น ๆ อย่าง นมสด โกโก้ หรือช็อกโกแลต เป็นเมนูที่ผู้ที่เริ่มดื่มกาแฟมือใหม่นิยมกันมาก เพราะทานได้ง่าย นอกจากนี้ ยังเหมาะกับคนที่ไม่ชอบกาแฟที่เข้มขนเกินไป เนื่องจากมีรสชาติของส่วนผสมอื่น ๆ ที่ช่วยให้กาแฟมีรสชาติละมุน กลมกล่อม ขมน้อยยิ่งขึ้น

ลาเต้ (Latte) คือ กาแฟเอสเปรสโซ ที่มีส่วนผสมหลักเป็นนม เพื่อรสชาติที่นุ่ม หวานมัน กลมกล่อม หอมมัน และเพิ่มฟองนมด้านบนให้ละมุนยิ่งขึ้น เมนูกาแฟลาเต้ สามารถทานง่าย เหมาะกับผู้ที่ชอบกาแฟอ่อนๆ  หรือ ผู้ที่เริ่มต้นดื่มกาแฟเช่นกัน

แฟลตไวท์ (Flat white) เป็นกาแฟที่ถูกผสมผสานกับนมสด แต่ไม่มีฟองนม สีจะออกน้ำตาลนวล รสชาติจะอ่อนกว่ากาแฟชนิดอื่น ๆ ดื่มง่าย ไม่ขมคอ  เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบรสขมของกาแฟเป็นอย่างยิ่ง

ประโยชน์ของกาแฟ 

นั้นมีมากมายหลายอย่าง โดยเฉพาะในเรื่องของการ ต้านอนุมูลอิสระ จากการศึกษาของนักวิจัยจากศูนย์วิจัยในสวิตเซอร์แลนด์ พบว่าเมล็ดกาแฟมีสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะกาแฟสายพันธุ์โรบัสต้าซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าเมล็ดกาแฟสายพันธุ์อื่น นอกจากนี้ประโยชน์ของกาแฟ ยังช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ได้แก่

1. ช่วยป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ B
2. ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ป้องกันโรคหัวใจ
3. ช่วยกระตุ้นสมองให้ทำงานได้เร็วขึ้น และมีสมาธิ
4. ช่วยป้องกันโรคหอบ
5. มีกรดอะซิติก ช่วยป้องกันโรคมะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ และมะเร็งช่องปาก
6. ช่วยลดการเกิดโรคตับจากการดื่มสุรา
7. ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะจากการเมาสุรา
8. การดื่มกาแฟหลังอาหารช่วยลดความอ้วนได้
9. กาแฟเข้มข้นจะทำให้ออกไซด์แตกตัวช่วยชะลอความแก่

กาแฟยังได้ถูกนำเอามาใช้เป็นส่วนผสมเกี่ยวกับเรื่องของความสวยความงาม 

โดยเฉพาะการลดน้ำหนัก สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะกลิ่นของกาแฟสามารถลดอาการอยากอาหารได้ อีกทั้งกาแฟยังสามารถเปลี่ยนไขมันให้กลายเป็นกรดไขมัน หลังจากออกกำลังกายที่สามารถขับถ่ายออกจากร่างกายได้ และเนื่องจากกาแฟมีส่วนผสมของคาเฟอีน ที่มีฤทธิ์ช่วยเพิ่มความกระชุ่มกระชวย ช่วยขจัดความอ่อนล้า ซึ่งการดื่มกาแฟจะช่วยให้สามารถออกกำลังกายได้นานขึ้น เป็นสารที่ช่วยเร่งการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย ทำให้ไขมันที่สะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย สลายเป็นพลังงานความร้อน โดยเวลาที่เหมาะสมของการดื่มกาแฟเพื่อช่วยให้ออกฤทธิ์ในการเผาผลาญ และย่อยอาหารคือการดื่มกาแฟร้อน โดยเฉพาะกาแฟดำ เนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำตาล และไม่ใส่นม โดยควรเป็นการดื่มหลังจากรับประทานอาหารเที่ยงประมาณครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง หรือเป็นการดื่มกาแฟก่อนออกกำลังกายก็จะช่วยเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการลดความอ้วนหรือในการลดน้ำหนักได้

สำหรับปริมาณของกาแฟที่เหมาะสมในการดื่มแต่ละวันนั้นปริมาณมากที่สุดในการบริโภค คือ ไม่ควรเกิน 4 แก้วต่อวัน หรือไม่เกิน 20 ออนซ์ แต่ปริมาณที่เหมาะสมที่สุดเพื่อที่จะทำให้ดื่มกาแฟแล้วได้ประโยชน์นั้นคือวันละ 1-2 แก้ว หรือประมาณ 10 ออนซ์เท่านั้น ซึ่งหากดื่มในปริมาณที่เหมาะสมแล้วนั้นจะทำให้ได้รับประโยชน์จากกาแฟมากมาย

และทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น ก็คือ ความแตกต่างของกาแฟแต่ละชนิด นั่นเองค่ะ จะเห็นได้ว่ามีหลายรสชาติให้เราเลือกดื่มกันเลย สำหรับใครที่กำลังเริ่มต้นดื่มกาแฟอยู่ เมื่อทราบความแตกต่างของกาแฟแต่ละชนิดแล้ว ต่อไปนี้สามารถเลือกสั่งกาแฟตามความชอบกันได้แล้วนะคะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *