ดินแดนแห่งดอกไม้หลากสีที่ เมืองบัคฮา เป็นเมืองเล็กๆ ที่เงียบสงบ แต่ก็ค่อนข้างมีชื่อเสียงในหมู่นักท่องเที่ยวไม่แพ้เมืองใหญ่ๆ ในเวียดนามเลย โดยเฉพาสำหรับผู้ที่สนใจในเรื่องของชนเผ่าต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในเวียดนามเหนือ ซึ่งพวกเขายังคงอนุรักษ์วัฒนธรรมของตนเองได้เป็นอย่างดี
ชนเผ่าส่วนใหญ่ที่มีจำนวนมากที่สุดในบัคฮา คือ ม้ง (Hmong) แต่ชนเผ่าที่มีอิทธิพลในอดีตกลับเป็นเผ่าไต (Tày)
ย้อนกลับไปในสมัยฝรั่งเศสปกครองที่นี่ ตระกูล “ฮวง” ควบคุมเส้นทางการค้าและจัดเก็บภาษีส่งให้ฝรั่งเศส เพื่อแลกกับสิทธิในการสัมปทานเกลือ ฝิ่น และสินค้าเกษตร พวกเขาจึงร่ำรวยและมีอิทธิพลเหนือชนเผ่าอื่นๆ หลักฐานที่ปรากฏจนถึงปัจจุบันก็คือราชวังฮวง อา เตือง (Hoang A Tuong palace) กลุ่มอาคารเก่าแก่ที่มีสถาปัตยกรรมแบบเฟรนช์โคโลเนียลในอดีตเคยเป็นที่พำนักของตระกูลฮวง ภายหลังอิทธิพลของตระกูลนี้ก็ถดถอยลงเมื่อสิ้นสุดยุ อาณานิคม สถานที่แห่งนี้ได้กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยว แต่น่าเสียดายปล่อยให้ทรุดโทรมขาดการบำรุงและรักษาความสะอาด
ทั้งๆ ที่เป็นอาคารที่มีความสวยงามและมีคุณค่าทางสถาปัตยกรรม
เอาเข้าจริงๆ แล้วถ้าจะมาเที่ยวเมืองบัคฮาให้สนุก ก็ต้องมาให้ตรงกับวันที่มีตลาดนัดวันเสาร์และอาทิตย์ เพราะเมืองนี้เล็กมากๆ มีสถานที่ท่องเที่ยวไม่กี่แห่ง แนะนำว่าถ้าได้โอกาสมาเที่ยวเมืองซาปาทั้งนี้ ก็ควรวางแผนแวะมาเที่ยวที่นี่ด้วย เดินทางออกจากซาปาเช้าตรู่วันศุกร์สายๆ ก็มาถึงบัคฮา แวะเที่ยวราชวังฮวง อา เตือง และเดินเล่นหมู่บ้านบั่นโฝ วันเสาร์ออกนอกเมืองไปเที่ยวตลาดนัดกานโกว เช้าวันอาทิตย์เที่ยวตลาดนัดบัคฮา บ่ายเดินทางกลับฮานอย ก็เป็นหนึ่งในแผนการเดินทางที่นิยมกัน การได้มาเห็นวิถีชนเผ่าและบรรยากาศการซื้อขายสินค้า ท่ามกลางชุดประจำเผ่าสีสันฉูดฉาด นี่อาจจะเป็นภาพที่หาชมไม่ได้ง่ายนักในประเทศเวียดนาม แล้วจะมีเหตุผลอะไรที่ไม่ลองแวะมาเที่ยวที่บัคฮา
เมืองบัคฮา ดินแดนแห่งดอกไม้หลากสี
การมาเที่ยวเวียดนามเหนือครั้งนี้หากไม่ได้เดินทางมาชมตลาดนัดวันอาทิตย์ของชาวม้งที่บัคฮา กับไปซาปาก็คงจะถือว่ามาไม่ถึงเวียดนามเหนือเป็นแน่ เราต้องไปให้ถึงสถานีรถไฟประมาณสองทุ่มเพื่อรอเวลารอไฟออก ซึ่งถือว่ามีเวลาค่อนข้างน้อยในการเดินทางเพราะกว่าเราจะกลับมาจากแทมก็อกก็เกือบหนึ่งทุ่มเข้าไปแล้ว เราเลยต้องรีบกันพอสมควรเพราะการเดินทางในฮานอยก็คาดเดายากเพราะรถค่อนข้างเยอะมากในช่วงเวลาดังกล่าว เมื่อมาถึงสถานีรถไฟ แรกเห็นนึกว่าเรามาหัวลำโพงบ้านเราสมัยยังไม่ปรับปรุง รถไฟก็ยังเป็นแบบอนุรักษ์นิยมอยู่ ไม่เหมือนญี่ปุ่น หรือฝรั่งเศสที่รถไฟเค้าเร่งความเร็วแข่งกับเสียงกันแล้ว แต่โซนเอเซียแบบบ้านเราก็ดีอย่างคือไม่รู้จะรีบร้อนไปไหน แค่มาให้ถึงตรงเวลาพวกเราก็ดีใจแล้ว
เดินทางมาบัคฮาด้วยรถไฟขบวนฟานซีปัน ซึ่งถือว่าเป็นรถไฟชั้น 1 ของที่นี่ ด้วยเตียงนอน 4 เตียงต่อ 1 ห้องค่อนข้างสบายทีเดียวแม้ว่าขนาดเตียงจะเล็กกว่าของบ้านเรา พวกเราจองไว้ทั้งหมด 3 ห้องติดกันพอจัดของเสร็จทุกคนก็มารวมกันอยู่ห้องเดียว ไม่รู้เข้าไปอยู่กันได้ยังไงห้องนิดเดียวแล้วแต่ละคนก็ตัวไม่ใช่เล็กกว่าจะแยกย้ายกันไปนอนก็ค่อนคืนเข้าไปแล้ว ในห้องมีน้ำขวด มีกล้วยหอม แล้วก็ขนมอีกนิดหน่อย นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ที่ของเวียดนามที่มีบริการน้ำดื่ม
ไม่เหมือนที่บ้านเราแทบทุกแห่งจะมีน้ำดื่มบริการ ทั้งๆ ที่เวียดนามมีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์มาก แต่ต้องซื้อน้ำกินตลอดเลย ใครมาเที่ยวเวียดนามก็ขอให้เตรียมเรื่องน้ำติดตัวไว้ตลอดเวลา เพราะบางที่หาน้ำยากอยู่เหมือนกัน เคยถามราคาเตียงล่างเตียงบนว่าเตียงไหนแพงกว่ากันเพราะจำได้ว่าเคยมีคนบอกเตียงล่างจะแพงกว่าเตียงบน กลายเป็นว่าเค้าบอกเตียงล่างเตียงบนราคาเท่ากัน แต่ถ้าเป็นฤดูร้อนคนจะแย่งเตียงบนเพราะใกล้แอร์ แต่ถ้าเป็นหน้าหนาวอย่างตอนนี้จะแย่งเตียงล่างกันเพราะไกลแอร์ อ้าวได้เตียงบนกว่าจะรู้ตัวช่วงหัวรุ่งก็หนาวหน้าดูเลย
เรามาถึงสถานีเลาไกประมาณตีห้ากว่า ๆ อากาศตอนนี้หนาวมาก ๆ หนาวกว่าภาคเหนือบ้านเราพอสมควร อาจเป็นเพราะอยู่ติดกับชายแดนประเทศจีนก็เป็นได้ ต่างคนต่างรีบเดินเพื่อเข้าไปในสถานีก่อน ที่นี่จะมีรถรับจ้าง บริษัททัวร์มาโฆษณาชวนเชื่ออยู่มากมายเต็มไปหมด การมาเที่ยวเวียดนามเราต้องหาข้อมูลกันมาพอสมควรไม่งั้นจะโดนโก่งราคาแบบไม่น่าเชื่อ เช่นค่ารถจริง ๆ คนละ 25,000 ด่อง แต่อาจโดนโก่งราคาบอกคนละ 130,000 ด่องได้อย่างหน้าตาเฉย ส่วนมากที่ไม่ซื่อตรงจะเป็นพวกวัยรุ่น แต่คนสูงอายุจะไม่เหมือนกัน ออกจะดีมากด้วยซ้ำไป แบบนี้นี่เองที่ใครมาเวียดนามแล้วให้ต่อราคาลงอย่างน้อย 50% หลาย ๆ ครั้งที่ต่อ 70 %แล้วก็ยังได้ แต่ต้องคอยดูทิศทางลมดีๆ
นะระวังเจอแม่ค้าพ่อค้าบันดาลโทสะจะพาลหมดสนุกกันได้