สาละ เป็นคำสันสกฤต อินเดียเรียกต้นสาละว่า “Sal” เป็นไม้ที่มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าทั้งตอนประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน มีความสำคัญในพุทธประวัติดังนี้

ตอนพระพุทธเจ้าประสูติ พระพุทธมารดาพระนางสิริมหามายาทรงครรภ์ใกล้ครบกำหนดพระสูติการ ทรงเสด็จจากกรุงกบิลพัสดุ์ เพื่อไปมีพระสูติการที่กรุงเทพวทหะ อันเป็นเมืองต้นตระกูลของพระนาง ตามธรรมเนียมประเพณีพราหมณ์ เมื่อขบวนเสด็จมาถึงระหว่างทางกรุงกบิลพัสดุ์กับกรุงเทวทหะ ณ “สวนลุมพินีวัน” เป็นสวนป่าไม้ “สาละ” (ปัจจุบันคือตำบล “รุมมินเด” แขวงเปชวาร์ ประเทศเนปาล) พระนางได้ทรงหยุดพักอิริยาบท ประทับยืนชูพระหัตถ์ขึ้นเหนี่ยวกิ่งสาละ ขณะนั้นเองก็รู้สึกประชวรพระครรภ์ และได้ประสูติพระสิทธัตถะกุมาร ซึ่งตรงกับวันศุกร์ เพ็ญเดือน ๖ ปีจอ ก่อนพุทธศักราช 80 ปี คำว่าสิทธัตถะแปลว่า “สมปรารถนา”

ต้นสาละอินเดีย

อีกตอนหนึ่งก่อนที่เจ้าชายสิทธัตถะจะตรัสรู้ เมื่อพระองค์เสวยข้าวมธุปายาสที่นางสุชาดานำมาถวายหมดแล้ว ได้ทรงนำถาดทองที่ใส่ข้าวมธุปายาสนั้นเสด็จไปยังแม่น้ำเนรัญชรา แล้วอธิษฐานว่า ถ้าพระองค์ได้สำเร็จพระโพธิญาณ ขอให้ถาดทองนี้ลอยทวนกระแสน้ำแห่งแม่น้ำเนรัญชรา แล้วได้ทรงลอยถาดทองลงในแม่น้ำ ปรากฏว่าถาดทองนั้นได้ลอยทวนกระแสน้ำ จากนั้นพระองค์เสด็จไปประทับยังควงไม้สาละ ตลอดเวลากลางวัน ครั้นเวลาเย็นก็เสด็จไปยังต้นพระศรีมหาโพธิ ประทับนั่งบนบัลลังก์ภายใต้ต้นโพธิ และได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ เวลารุ่งอรุณของวันเพ็ญเดือน ๖

ละตอนสุดท้ายที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน เมื่อพระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์สาวก เสด็จถึงเขตเมืองกุสินาราของมัลละกษัตริย์ ใกล้ฝั่งแม่น้ำหิรัญวดี พระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยมาก จึงมีรับสั่งให้พระอานนท์ ซึ่งเป็นองค์อุปัฏฐากปูลาดพระที่บรรทม โดยหันพระเศียรไปทางทิศเหนือ ระหว่างต้นสาละทั้งคู่ แล้วพระองค์ก็ทรงสำเร็จสีหไสยาสน์ โดยพระปรัศว์เบื้องขวา (นอนตะแคงขวาพระบาทซ้ายซ้อนทับพระบาทขวา) แล้วเสด็จเข้าสู่พระปรินิพพาน

มาทำความรู้จัก ต้นสาละอินเดีย กัน

ชื่อพื้นเมือง: สาละ, สาละอินเดีย (กรุงเทพฯ)
ชื่อบาลี: สาล (สา-ละ), อสสกณณ (อัส-สะ-กัน-นหะ), อสสกณณโณ (อัส-สะ-กัน-โน), สาโล (สา-โล)
ชื่อวิทยาศาสตร์: Shorea robusta Roxb.
ชื่อสามัญ: Sal, Shal, Sakhuwan, Sal Tree, Sal of India, Religiosa
ชื่อวงศ์: DIPTEROCARPACEAE
ถิ่นกำเนิด: ทางเหนือของประเทศอินเดีย ซึ่งปัจจุบันคือประเทศเนปาล
สภาพนิเวศน์: มักขึ้นเป็นกลุ่มๆ ตามบริเวณที่ค่อนข้างชุ่มชื้น
ลักษณะทั่วไป: ต้นสาละอินเดีย เป็นพืชในสกุล Shorea และอยู่ในวงศ์ DIPTEROCARPACEAE เช่นเดียวกับพะยอม เต็ง รัง เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ความสูงประมาณ 10-25 เมตร ไม่ผลัดใบ ลำต้นเปลาตรง เปลือกสีน้ำตาลดำ แตกเป็นร่อง เป็นสะเก็ดทั่วไป เรือนยอดเป็นพุ่มหนาทึบ ปลายกิ่งลู่ลง กิ่งอ่อนเกลี้ยง ใบเป็นใบเดี่ยว ดกหนาทึบ ใบรูปไข่กว้าง โคนใบเว้าเข้า ปลายใบหยักเป็นติ่งแหลมสั้นๆ ผิวใบเกลี้ยงเป็นมัน ขอบใบเป็นคลื่น ดอกออกเป็นช่อสั้นๆ ตามปลายกิ่งและง่ามใบ กลีบเลี้ยงและกลีบดอกมีอย่างละ 5 กลีบ กลีบดอกสีขาวอมเหลือง มีเกสรเพศผู้จำนวน ๑๕ อัน มีกลิ่นหอม ออกดอกในช่วงต้นฤดูร้อน ผลเป็นผลชนิดแห้ง แข็ง มีปีก 5 ปีก ปีกยาว 3 ปีกและปีกสั้น 2 ปีก แต่ละปีกมีเส้นตามความยาวของปีก 10-15 เส้น โคนปีกแนบติดผลมากกว่ากึ่งหนึ่งของผล มีขนสั้นรูปดาวปกคลุมประปราย
การขยายพันธุ์: ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดและการตอนกิ่ง การเพาะเมล็ดจะได้ผลดีกว่าการทาบกิ่ง ตอนกิ่งและติดตา
ประโยชน์: ต้นสาละอินเดียเป็นไม้เนื้อแข็งนิยมนำมาใช้เป็นวัสดุก่อสร้างบ้านเรือน ต่อเรือ ทำเกวียน รวมถึงใช้ทำเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ต่างๆ เมล็ดใช้เป็นอาหารสัตว์ น้ำมันที่ได้จากเมล็ดนำมาทำเนย ใช้เป็นน้ำมันตะเกียง ใช้ทำสบู่ นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณด้านสมุนไพร ยางใช้เป็นยาสมานแผล ห้ามเลือด แก้โรคผิวหนัง ตุ่มพุพอง ผลใช้แก้โรคทองเสีย ท้องร่วงขอบคุณพันธมิตรของเราที่คุณสามารถค้นหาได้ ties ออนไลน์เพื่อให้เหมาะกับทุกความต้องการและงบประมาณ ตั้งแต่งบประมาณไปจนถึงโมเดลสุดเก๋ระดับท็อป

บางเรื่องรู้คุณไม่รู้เกี่ยวกับ ต้นสาละอินเดีย

คนไทยมักรู้จักแต่ชื่อ”ต้นสาละ”ในพุทธประวัติกันมานาน แต่มาเข้าใจสับสนเข้าใจต้นสาละกันผิดๆ เพราะในช่วงแรกไปได้ข้อมูลผิดๆมาจากชาวศรีลังกาที่เขาก็เข้าใจมาผิดเช่นกัน

ในปี พ.ศ.๒๔๙๘ ท่านพุทธทาสภิกขุได้ไปเยือนอินเดีย และกลับมาในปี พ.ศ.๒๔๙๙ โดยได้นำต้นสาละมาปลูก ณ สวนโมกขพลาราม อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานีเป็นต้นแรกในประเทศไทย และหลังจากนั้นก็มีท่านอื่นๆได้ไปนำต้นสาละจากอินเดียมาปลูกอีกหลายต้น จนกระทั่งต้นสาละที่ปลูกไว้ในประเศไทยได้ออกดอกออกผล จึงได้เพาะขยายพันธุ์นำไปปลูกต่อๆกันมา
นับเวลาที่มีการปลูกต้นสาละในประเทศไทยถึงปัจจุบัน ปี๒๔๙๙ – ๒๕๖๓ ได้ ๖๔ ปี แต่ทำไมคนไทยยังไม่รู้จักต้นสาละที่แท้จริง ก็เพราะด้วยสาเหตุต่างๆ
๑.ต้นสาละเป็นไม้วงศ์ยาง ต้องใช้เวลานานถึง ๑๕ ปีถึงจะออกดอกออกผล
๒.ต้นสาละเป็นไม้ในถิ่นอินเดีย เมื่อนำมาปลูกในไทยทำให้ปลูกให้รอดยาก ต้องมีเหตุปัจจัยต่างๆช่วยให้เหมาะสม
๓.ต้นสาละจะออกดอกออกผลได้ต้องมีอากาศและสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมเท่านั้น และอาจจะไม่ได้ออกดอกทุกปี
๔.การเพาะเมล็ดสาละให้โตเป็นต้นกล้าที่แข็งแรงพร้อมจะนำไปปลูกต้องใช้เวลาประมาณ ๓ ปี
๕.การปลูกต้นสาละต้องเลือกพื้นที่น้ำไม่ขัง ไม่แฉะ ไม่ท่วม และเป็นดินระบายนำ้ได้ดี
๖.การปลูกต้นสาละต้องดูแล บำรุง รักษา ต่อเนื่อง และยาวนานถึง ๕ ปี จึงจะปล่อยให้เติบโตตามธรรมชาติต่อไป
๗.การดูแลต้นสาละต้องให้นำ้เป็นประจำ หากนำ้น้อยอาจจะไม่รอด ไม่โต นำ้น้อยได้แค่ประทังกันตายเท่านั้น หากให้นำ้มากพอ และเปียกชุ่มถึงรากจะทำให้ต้นสาละโตไว
๘.ด้วยสาเหตุที่ปลูกต้นสาละแล้วไม่ได้รับการดูแลต่อเนื่อง จึงทำให้มีต้นสาละที่โตเป็นไม้ใหญ่ให้เห็นกันน้อยมาก จากการสำรวจของชมรมรักษ์สาละ ทั่วประเทศไทยมีต้นสาละที่โตเป็นไม้ใหญ่จำนวนไม่ถึง ๒๐ ต้น เป็นสาเหตุที่คนไทยไม่รู้จักต้นสาละที่แท้จริง
๙.จากการสำรวจต้นสาละในประเทศไทย จังหวัดที่ต้นสาละเคยออกดอกมีดังนี้
(ข้อมูล ๒๖-๐๓-๒๕๖๔)

ด้วยต้นสาละต้องมีสิ่งแวดล้อมและอากาศที่เหมาะสมจึจะออกดอกออกผล คนไทยส่วนใหญ่จึงไม่เคยเห็นดอกสาละที่แท้จริง และไปหลงเข้าใจผิดว่าดอกลูกปืนใหญ่เป็นดอกสาละแทน และทางชมรมรักษ์สาละได้มีการสำรวจต้นสาละที่เคยออกดอกทั่วทั้งประเทศไทย มีเพียงต้นสาละใน ๑๑ จังหวัดเท่านั้น คือ
๑.เชียงใหม่
๒.ลำปาง
๓.สระบุรี
๔.อ่างทอง
๕.ชลบุรี
๖.กรุงเทพมหานคร
๗.เพชรบุรี
๘.ปัตตานี
๙.เชียงราย
๑๐.บึงกาฬ
๑๑.ยโสธร
ซึ่งสถานที่กล่าวมานี้มีอากาศและสิ่งแวดล้อมเหมาะสม จึงทำให้ต้นสาละสามารถออกดอกออกผล
หมายเหตุ ข้อมูลแก้ไขล่าสุด ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๔
๑๐.ในปี พ.ศ.๒๕๐๐ ได้มีคณะคนไทยไปยังประเทศศรีลังกา ได้ไปพบเห็นต้นไม้ชนิดหนึ่งเป็นไม้ยืนต้นเป็นไม้เนื้ออ่อน มีงวงออกจากลำต้นมากมาย และในงวงก็จะมีช่อดอกมีสีชมพูส้มสวยมาก มีลูกกลมใหญ่คล้ายลูกปืนใหญ่โบราณ โดยชาวศรีลังกาได้บอกว่าเป็นต้นซาล(Sal) ซึ่งปกติต้นซาล(Sal) คือ ช่ือทางพฤกษศาสตร์ของต้นสาละ(สาละอินเดีย) แต่ลักษณะของต้นดังกล่าวมันไม่ใช่ต้นสาละในพุทธประวัติ แต่คณะคนไทยก็ได้นำต้นดังกล่าวมาปลูกในประเทศไทย ด้วยความคิดที่ว่าน่าจะไม่ใช่ต้นสาละในพุทธประวัติ จึงเรียกต้นนั้นว่าสาละลังกา(คือ ต้นสาละตามที่ชาวศรีลังกาบอกและนำมาจากศรีลังกา) คิดว่าหากเป็นต้นซาล(Sal) หรือ สาละจริงๆคงจะเรียกว่า ต้นซาล(sal) หรือ ต้นสาละแล้วตั้งแต่นั้น ด้วยต้นสาละลังกา เป็นพืชที่เติบโตง่าย จึงมีการขยายพันธุ์ปลูกกันไปทั่วประเทศด้วยความหลงเข้าใจผิดกัน เพราะคนที่เอาไปปลูกก็ไม่ได้รู้จริงโดยรู้ตามที่เขาบอกต่อๆกันมาผิดๆ และอีกสาเหตุเนื่องจากคนไทยมักชอบเรียกอะไรง่ายๆสั้นๆ เขียนกันสั้นๆว่า ต้นสาละ และเมื่อต้นสาละไปอยู่ในวัดของพุทธศาสนา จึงเป็นการตอกย้ำให้ชาวพุทธเข้าใจผิดว่าเป็นต้นสาละในพุทธประวัติโดยไม่ได้ศึกษาข้อเท็จจริงให้เข้าใจกันให้ถูกต้อง
ต่อมาภายหลังชาวศรีลังกาได้ทราบข้อมูลทางพฤกษศาสตร์ที่ถูกต้องของต้นไม้ที่ให้คนไทยมาปลูก ว่าที่เคยบอกไปนั้นมันผิดพลาด จึงได้ทำหนังสือถึงประเทศไทย พร้อมชี้แจงข้อเท็จจริงว่าเป็น #ต้นลูกปืนใหญ่(Cannon ball Tree)โดยชื่อนี้เป็นชื่อสามัญทางพฤกษศาสตร์ที่ถูกต้องโดยมีที่มาจากลักษณะของผล ลูกปืนใหญ่ แต่ด้วยมีการเรียกผิดๆว่าต้นสาละ และฝังในหัวคนไทยมานาน อีกทั้งก่อนนั้นการสื่อสารประชาสัมพันธ์ก็ไม่ทันสมัยเหมือนเช่นปัจจุบันที่มีโซเชียลมีเดีย ทำให้คนไทยเข้าใจกันได้น้อยมาก

คนไทยทั้งหลายเมื่อทราบแล้วว่าต้นไหนคือ ต้นสาละ(Sal)ที่แท้จริง และ ต้นไหนคือ ต้นลูกปืนใหญ่(Cannon ball Tree) ได้โปรดศึกษาทำความเข้าใจให้ถูกต้อง และเผยแพร่บอกต่อข้อเท็จจริงนี้ อย่าได้ฝืนกระแสความจริงนี้เลย…สาธุ สาธุ สาธุ
หลวงสิน ชมรมรักษ์สาละ
๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๓

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *